วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Leaning log (11th August ,2015)

Leaning log
(11th August ,2015)
            การศึกษามีความสำคัญกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกชนชาติทุกศาสนาเพราะทุกคนที่เกิดมาจะต้องได้รับการศึกษา ซึ่งเป็นเครื่องนำทางชีวิตให้เดินไปสู่สิ่งที่ดี และประสบความสำเร็จได้ นั่นคือการศึกษาเป็นการพัฒนาและปลูกฝังนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่ดีให้กับผู้เรียน อุดมการณ์ของการศึกษาคือ ยิ่งศึกษายิ่งจะทำให้ผู้เรียนรู้จักตัวเอง รู้จักตน ควบคุมตน แล้วพัฒนาตนให้ดีขึ้นได้ สังคมโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงและก้าวไกลไปอย่างมาก ผู้ที่มีการศึกษาย่อมได้เปรียบในการทำงานและกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงในการดำเนินชีวิตด้วย และการศึกษาที่สำคัญที่กำลังเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากในขณะนี้ และในอนาคตสำหรับการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนคือ การศึกษาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษากลางที่คนในทุกๆชาติใช้สื่อสารกัน แต่ทุกคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่แบบจะมองว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากทำให้ทุกคนเกิดความเบื่อหน่ายเพราะเรียนแล้วไม่เกิดความเข้าใจ จึงทำให้ไม่สนใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษและรู้สึกอคติไปโดยสิ้นเชิง
                การศึกษาโดยทั่วไปจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะของการเรียนรู้ ได้แก่
      1.             การศึกษาในห้องเรียน
      2.             การศึกษานอกห้องเรียน
-       การศึกษาในห้องเรียน ซึ่งเป็นการศึกษาเรียนรู้จากเนื้อหาสาระต่างๆซึ่งมีครูผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียน และผู้เรียนมีหน้าที่รับความรู้จากครูหรือบางครั้งอาจจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นกับเพื่อนๆภายในห้องเรียน อาจจะเป็นเนื้อหาได้ด้านของบทเรียนต่างๆ การทำกิจกรรมต่างๆภายในห้องเรียน การทำแบบทดสอบรวมทั้งการทดสอบภายในห้องเรียน ตลอดจนทักษะในการทำงานทั้งการทำงานเดี่ยวและการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อการเอาตัวรอดเพื่อสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขซึ่งเป็นสิ่งที่ครูผู้สอนได้สอนอีกด้วย
-       การศึกษานอกโรงเรียน ซึ่งเป็นการศึกษาเรียนรู้ในเนื้อหาต่างๆด้วยตนเอง ซึ่งผู้เรียนเป็นตัวหลักในการศึกษาลักษณะนี้ การศึกษาดังกล่าวไม่มีคำว่าถูกหรือ ผิด เพราะเป็นการศึกษาด้วยตนเอง มีการประเมินตนเอง คือ การรู้และไม่รู้ ถ้าหากผู้เรียนไม่รู้ในเรื่องดังกล่าวก็จะต้องแก้ไข และการพัฒนาตนของผู้เรียนจากการเรียนและการฝึกฝนด้วยตนเอง ซึ่งเรียกว่า “self directed leaning” คือเป็นการชี้นำตัวเอง การเรียนประเภทนี้เป็นการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากการเรียนในห้องเรียน และเป็นการฝึกฝนทักษะที่ผู้เรียนมีความสนใจหรือต้องการพัฒนาในส่วนนั้น ซึ่งวิชาที่ต้องใช้ทั้งความรู้และทักษะในการเรียนรู้นั่นก็คือ วิชาภาษาอังกฤษ
ในการศึกษาภาษาอังกฤษให้เข้าใจและมีความชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษ ผู้เรียนจะเรียนรู้ทั้งเนื้อหาให้เข้าใจอย่างขัดเจน รวมทั้งการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษด้วย คือ
-             การศึกษาเนื้อหาภาษาอังกฤษ ทั้งในส่วนของ คำศัพท์และหลักไวยากรณ์ต่างๆให้เข้าใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นความรู้พื้นฐานในการศึกษาภาษาอังกฤษ เพราะถ้าหากผู้เรียนไม่มีความรู้หรือไม่เข้าใจในส่วนของคำศัพท์และไวยากรณ์เลย ก็จะทำให้เกิดอุปสรรคในการเรียนรู้เป็นอย่างมาก แต่ปัญหาในการศึกษาภาษาอังกฤษของคนส่วนใหญ่ คือ ความจำ เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่สามารถจำเนื้อหาที่อ่านได้ทั้งหมด จึงเกิดความไม่เข้าใจในเนื้อหาดังกล่าว ฉะนั้น ผู้เรียนจึงต้องใช้วิธีการ โดยการสรุป (summarize) และ การถอดความ (paraphrase)
·         การสรุปความ (summarize) เป็นการสรุปเรื่องราวจากการฟังหรือการอ่าน ผู้ฟังหรือผู้อ่านจะต้องจับใจความและสรุปใจความสำคัญของเรื่อง จะต้องจับประเด็นให้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร แล้วจดบันทึกไว้ จากนั้นจึงสรุปความของเรื่องที่อ่านและฟัง
·         การถอดความ (paraphrase) คือวิธีการเขียนเนื้อหาขึ้นมาใหม่โดยใช้คำพูดของตนเองและไม่เปลี่ยนความหมายของต้นฉบับ
ข้อแตกต่างระหว่าง Paraphrase กับ Summarize  คือ  paraphraseเป็นการเขียนให้มีความยาวตามต้นฉบับ แต่ summarize เป็นการเขียนให้สั้นกว่าต้นฉบับ
-             การฝึกทักษะทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง เช่น ฟังบรรยาย ฟังแถบบันทึกเสียง โทรทัศน์, การพูด เช่น การพูดสนทนา การอ่านออกเสียง, การอ่าน เช่น การอ่านตัวหนังสือ,ข้อความและการเขียน เช่น  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญสำหรับการศึกษาภาษาอังกฤษ เป็นทักษะที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ ถ้าหากผู้เรียนมีความบกพร่องทางด้านใดก็แก้ไขด้วยการฝึกฝนในทักษะนั้นๆ ให้เกิดความเข้าใจและมีความชำนาญ เพราะถ้าหากการฟังของผู้เรียนดีก็สามารถฟังเจ้าของภาษาได้อย่าเข้าใจง่ายต่อการเรียนรู้ หากการพูดดีทำให้เกิดการสนทนาที่ประสบความสำเร็จ และหากการอ่านดี ก็สามารถทำให้เข้าใจในเนื้อหาต่างๆมากขึ้น ตลอดจนหากมีการเขียนดีก็ถือผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก
                   ดังนั้น การเรียนภาษาอังกฤษให้ประสบความสำเร็จจะต้องทำความเข้าใจในด้านของเนื้อหาซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาภาษาอังกฤษนั่นก็คือ คำศัพท์และเนื้อหาเกี่ยวกับหลักไวยากรณ์ต่างๆ ซึ่งการศึกษาภาษาอังกฤษมีเนื้อหาที่สามารถจดจำได้อยาก ฉะนั้นผู้เรียนไม่สามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดที่เรียนได้ ก็จะต้องมีการสรุปความหรือถอดความจากเนื้อหาดังกล่าวที่ผู้เรียนศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ส่วนการจะทำให้เกิดความชำนาญและความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาอังกฤษนั้นก็จะต้องฝึกทักษะทั้ง 4 ประการคือการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน โดยมีหลากหลายกิจกรรมที่ใช้สำหรับฝึกทักษะเหล่านี้   ซึ่งความรู้และทักษะดังกล่าวผู้เรียนจะต้องมีการพัฒนาฝึกฝนด้วยตนเอง พัฒนาอย่างสม่ำเสอมและมีความต่อเนื่อง การฝึกฝนดังกล่าวจึงจะประสบผลสำเร็จได้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น