Leaning log
(11th August ,2015)
การศึกษามีความสำคัญกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกชนชาติทุกศาสนาเพราะทุกคนที่เกิดมาจะต้องได้รับการศึกษา ซึ่งเป็นเครื่องนำทางชีวิตให้เดินไปสู่สิ่งที่ดี และประสบความสำเร็จได้ นั่นคือการศึกษาเป็นการพัฒนาและปลูกฝังนิสัยใฝ่รู้
ใฝ่ดีให้กับผู้เรียน อุดมการณ์ของการศึกษาคือ ยิ่งศึกษายิ่งจะทำให้ผู้เรียนรู้จักตัวเอง
รู้จักตน ควบคุมตน แล้วพัฒนาตนให้ดีขึ้นได้ สังคมโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงและก้าวไกลไปอย่างมาก
ผู้ที่มีการศึกษาย่อมได้เปรียบในการทำงานและกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงในการดำเนินชีวิตด้วย
และการศึกษาที่สำคัญที่กำลังเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากในขณะนี้
และในอนาคตสำหรับการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนคือ การศึกษาภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นภาษากลางที่คนในทุกๆชาติใช้สื่อสารกัน แต่ทุกคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่แบบจะมองว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากทำให้ทุกคนเกิดความเบื่อหน่ายเพราะเรียนแล้วไม่เกิดความเข้าใจ
จึงทำให้ไม่สนใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษและรู้สึกอคติไปโดยสิ้นเชิง
การศึกษาโดยทั่วไปจะสามารถแบ่งออกเป็น
2 ลักษณะของการเรียนรู้ ได้แก่
1.
การศึกษาในห้องเรียน
- การศึกษาในห้องเรียน
ซึ่งเป็นการศึกษาเรียนรู้จากเนื้อหาสาระต่างๆซึ่งมีครูผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียน
และผู้เรียนมีหน้าที่รับความรู้จากครูหรือบางครั้งอาจจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้
ความคิดเห็นกับเพื่อนๆภายในห้องเรียน อาจจะเป็นเนื้อหาได้ด้านของบทเรียนต่างๆ
การทำกิจกรรมต่างๆภายในห้องเรียน การทำแบบทดสอบรวมทั้งการทดสอบภายในห้องเรียน
ตลอดจนทักษะในการทำงานทั้งการทำงานเดี่ยวและการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อการเอาตัวรอดเพื่อสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขซึ่งเป็นสิ่งที่ครูผู้สอนได้สอนอีกด้วย
- การศึกษานอกโรงเรียน
ซึ่งเป็นการศึกษาเรียนรู้ในเนื้อหาต่างๆด้วยตนเอง ซึ่งผู้เรียนเป็นตัวหลักในการศึกษาลักษณะนี้
การศึกษาดังกล่าวไม่มีคำว่าถูกหรือ ผิด เพราะเป็นการศึกษาด้วยตนเอง มีการประเมินตนเอง
คือ การรู้และไม่รู้ ถ้าหากผู้เรียนไม่รู้ในเรื่องดังกล่าวก็จะต้องแก้ไข
และการพัฒนาตนของผู้เรียนจากการเรียนและการฝึกฝนด้วยตนเอง ซึ่งเรียกว่า “self
directed leaning” คือเป็นการชี้นำตัวเอง การเรียนประเภทนี้เป็นการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากการเรียนในห้องเรียน
และเป็นการฝึกฝนทักษะที่ผู้เรียนมีความสนใจหรือต้องการพัฒนาในส่วนนั้น ซึ่งวิชาที่ต้องใช้ทั้งความรู้และทักษะในการเรียนรู้นั่นก็คือ
วิชาภาษาอังกฤษ
ในการศึกษาภาษาอังกฤษให้เข้าใจและมีความชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษ
ผู้เรียนจะเรียนรู้ทั้งเนื้อหาให้เข้าใจอย่างขัดเจน รวมทั้งการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษด้วย
คือ
-
การศึกษาเนื้อหาภาษาอังกฤษ ทั้งในส่วนของ
คำศัพท์และหลักไวยากรณ์ต่างๆให้เข้าใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นความรู้พื้นฐานในการศึกษาภาษาอังกฤษ
เพราะถ้าหากผู้เรียนไม่มีความรู้หรือไม่เข้าใจในส่วนของคำศัพท์และไวยากรณ์เลย
ก็จะทำให้เกิดอุปสรรคในการเรียนรู้เป็นอย่างมาก แต่ปัญหาในการศึกษาภาษาอังกฤษของคนส่วนใหญ่
คือ ความจำ เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่สามารถจำเนื้อหาที่อ่านได้ทั้งหมด
จึงเกิดความไม่เข้าใจในเนื้อหาดังกล่าว ฉะนั้น ผู้เรียนจึงต้องใช้วิธีการ โดยการสรุป
(summarize) และ การถอดความ (paraphrase)
·
การสรุปความ (summarize)
เป็นการสรุปเรื่องราวจากการฟังหรือการอ่าน
ผู้ฟังหรือผู้อ่านจะต้องจับใจความและสรุปใจความสำคัญของเรื่อง จะต้องจับประเด็นให้ได้ว่า
ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร แล้วจดบันทึกไว้
จากนั้นจึงสรุปความของเรื่องที่อ่านและฟัง
·
การถอดความ (paraphrase) คือวิธีการเขียนเนื้อหาขึ้นมาใหม่โดยใช้คำพูดของตนเองและไม่เปลี่ยนความหมายของต้นฉบับ
ข้อแตกต่างระหว่าง Paraphrase กับ Summarize คือ paraphraseเป็นการเขียนให้มีความยาวตามต้นฉบับ แต่ summarize เป็นการเขียนให้สั้นกว่าต้นฉบับ
-
การฝึกทักษะทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง เช่น ฟังบรรยาย ฟังแถบบันทึกเสียง โทรทัศน์, การพูด เช่น การพูดสนทนา การอ่านออกเสียง, การอ่าน
เช่น การอ่านตัวหนังสือ,ข้อความและการเขียน เช่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญสำหรับการศึกษาภาษาอังกฤษ
เป็นทักษะที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้
ถ้าหากผู้เรียนมีความบกพร่องทางด้านใดก็แก้ไขด้วยการฝึกฝนในทักษะนั้นๆ
ให้เกิดความเข้าใจและมีความชำนาญ
เพราะถ้าหากการฟังของผู้เรียนดีก็สามารถฟังเจ้าของภาษาได้อย่าเข้าใจง่ายต่อการเรียนรู้
หากการพูดดีทำให้เกิดการสนทนาที่ประสบความสำเร็จ และหากการอ่านดี
ก็สามารถทำให้เข้าใจในเนื้อหาต่างๆมากขึ้น ตลอดจนหากมีการเขียนดีก็ถือผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก
ดังนั้น
การเรียนภาษาอังกฤษให้ประสบความสำเร็จจะต้องทำความเข้าใจในด้านของเนื้อหาซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาภาษาอังกฤษนั่นก็คือ
คำศัพท์และเนื้อหาเกี่ยวกับหลักไวยากรณ์ต่างๆ ซึ่งการศึกษาภาษาอังกฤษมีเนื้อหาที่สามารถจดจำได้อยาก
ฉะนั้นผู้เรียนไม่สามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดที่เรียนได้
ก็จะต้องมีการสรุปความหรือถอดความจากเนื้อหาดังกล่าวที่ผู้เรียนศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ส่วนการจะทำให้เกิดความชำนาญและความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาอังกฤษนั้นก็จะต้องฝึกทักษะทั้ง
4 ประการคือการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน โดยมีหลากหลายกิจกรรมที่ใช้สำหรับฝึกทักษะเหล่านี้ ซึ่งความรู้และทักษะดังกล่าวผู้เรียนจะต้องมีการพัฒนาฝึกฝนด้วยตนเอง
พัฒนาอย่างสม่ำเสอมและมีความต่อเนื่อง การฝึกฝนดังกล่าวจึงจะประสบผลสำเร็จได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น