การฝึกทักษะการฟัง
(20th
October, 2015)
จากการฝึกทักษะการเขียนในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ดิฉันเกิดการเรียนรู้ต่างๆมากมาย รวมทั้งพัฒนาทักษะการเขียนไปได้เป็นอย่างมาก
แต่การพัฒนาทักษะการเขียนเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในทุกๆทักษะสำหรับตัวดิฉัน เพราะการที่เราสามารถสร้างงานเขียนที่ดีและมีประสิทธิภาพได้นั้น
เราจะต้องมีทั้งทักษะ การฟัง การพูด และการอ่านที่ดีและคล่องคล่อง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการพัฒนาการเขียนให้ถูกต้องและมีคุณภาพทั้งสิ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนจากการเขียนกิจวัตรประจำวันของน้องชายของดิฉัน
ซึ่งน้องชายของดิฉันอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เขามีกิจวัตรประจำวันในวันหนึ่งที่เขาเล่าให้ดิฉันฟัง
การฝึกเขียนในครั้งนี้ดิฉันได้เรียนรู้หลักการใช้ไวยากรณ์ต่างๆ
ซึ่งเป็นการนำมาใช้ในประโยคอย่างจริงๆ ต่อมาดิฉันฝึกทักษะการเขียนจากการอ่านสรุปความนิทานเรื่อง
The Lion and the Mouse (สิงโตกับหนู) จากหนังสือ นิทานฉบับภาษาไทย และดิฉันฝึกทักษะการเขียนจากการอ่านเรื่องสั้นที่เป็นภาษาไทยในหนังสือเรียนของน้องดิฉัน
ซึ่งเป็นเนื้อหาที่คุณครูของเขาให้ฝึกอ่านภาษาไทย ดิฉันจึงนำมาเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
เรื่อง เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันหลังจากงานเลี้ยง ฉะนั้นในสัปดาห์นี้ดิฉันจะต้องฝึกในเรื่องของทักษะการฟังจากสื่อต่างๆ
ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการฟังในครั้งที่สอง การฟังนั้นก็มีความสำคัญมากเช่นกัน จำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาให้มีทักษะการฟังที่ดีขึ้น
การฟังในเรื่องใดๆก็แล้วแต่ถ้าหากเราไม่มีทักษะในการฟังที่ดีเราก็ไม่สามารถฟังเรื่องเหล่านั้นได้ถูกต้องได้เช่นกัน
บางครั้งการฟังที่ไม่มีประสิทธิภาพก็ก่อให้เกิดการสนทนาที่ไม่ประสบผลสำเร็จ
หรือแม้ว่าฟังในเรื่องทั่วๆไปก็จะไม่เกิดผล
และที่สำคัญในเรื่องของการศึกษาซึ่งการฟังในเนื้อหาหรือบทเรียนต่างๆเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะถ้าหากเราฟังสิ่งเหล่านั้นไม่เข้าใจเราก็ไม่สามารถทำตามที่อาจารย์หรือผู้อื่นบอกได้
ดังนั้น ดิฉันฝึกทักษะการฟังในวันอังคารที่ 20 เดือน ตุลาคม
พ.ศ.2558 – วันจันทร์ที่ 26 เดือน
ตุลาคม พ.ศ.2558
วันอังคารที่
20
– วันจันทร์ที่ 26 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการฟัง เรื่อง Snow White And The
Seven Dwarfs (1937) จาก https://www.youtube.com/watch?v=rrF49xItyks เหตุผลที่เลือกฟังจากหนังเรื่องนี้เพราะ
เป็นหนังที่น่าสนใจและเป็นเรื่องที่ทุกคนเคยอ่านหรือเคยรู้มาแล้ว
ซึ่งโดยส่วนมากมีคนชอบ จากการฟังเรื่อง สโนไวท์ ดิฉันสามารถสรุปเนื้อหาได้ดังนี้ ในดินแดนมหัศจรรย์
ยังมีองค์หญิงน้อยแสนงามผู้มีผมดำ ริมฝีปากแดงและมีผิวขาว เธอคือ สโนไวท์
ผู้ที่รู้จักเธอล้วนรักเธอเว้นแต่ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายผู้ริษยาในความงามของเธอ สโนไวท์อาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีน้ำตกเจ็ดชั้นและภูเขาอัญมณีเจ็ดลูกที่ภายในมีอัญมณีเลอค่ามากมาย
ภูเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สโนไวท์เติบโตมาภายใต้อำนาจของราชินี
ถึงแม้ว่าความปรารถนาที่จะมีรักแสนหวานของเธอจะดูเป็นไปไม่ได้แต่รักแท้ไม่สามารถขัดขวางได้
แม้ว่าเสื้อผ้าที่ขาดก็ยังไม่สามารถห้ามให้เจ้าชายหลงรักสโนไวท์ได้ ราชินีเกรงว่าสักวันสโนไวท์จะเติบโตและงดงามกว่านาง
ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้ให้สโนไวท์ทำงานหนักดั่งทาส และเมื่อกระจกวิเศษบอกแก่ราชินีว่า
สโนไวท์งดงามกว่านาง ชีวิตของสโนไวท์ก็ตกอยู่ในอันตราย
จนกระทั่งเธอได้พบเพื่อนตัวเล็กๆทั้งเจ็ดคนที่ช่วยเหลือเธอไว้ สโนไวท์วิ่งหนีใปในป่ามืด
และเห็นต้นไม้เกิดมีชีวิตและพยายามจะฉุดรั้งสโนไวท์เอาไว้
เธอเหนื่อยล่าและหวาดกลัวจนกระทั่งหมดแรงและล้มลงกลางป่า
แล้วสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือเสียงเพลงและรอยยิ้ม ระหว่างที่สโนไวท์กำลังทำขนมส่วนเหล่าคนแคระออกไปทำงานบ้านอย่างอื่น
ก็มีชายคนหนึ่งลอบเข้ามาที่เธอและพูดหว่านล้อมให้เธอกินแอปเปิ้ลสีแดงร่วมกับเขาคนละครึ่งลูก โดยที่เขาใส่ยาพิษเข้าไปในแอปเปิ้ล
และเมื่อสโนไวท์กินแอปเปิ้ลเธอก็สลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที หลังจากผ่านไป 3 คืน
สโนว์ไวท์ก็ตื่นขึ้นมาเจอเจ้าชาย เจ้าชายได้จุมพิตนางทำให้นางฟื้นขึ้นมา
และต่อสู้กับราชินีจนทำให้ราชินีตาย ทำให้ต่อมาทุกคนอยู่อย่างเป็นสุข
จากเนื้อหาที่สรุปได้ดังกล่าวนี้ ดิฉันได้ดูหนังเรื่องนี้ไปประมาณ 3 รอบ จากเวลาหนังทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาทีและดิฉันสรุปออกมาจากสิ่งที่ได้ฟังและความเข้าใจ ในวันพุธที่ 21
เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้นำหนังเรื่องนี้มาดูอีกครั้งเพื่อทบทวนเนื้อหาและพัฒนาการฟังของดิฉันให้ดีขึ้นด้วย
ซึ่งการฟังในครั้งนี้ดิฉันสามารถฟังเข้าใจได้ง่าย
เพราะเป็นเรื่องราวที่ดิฉันเคยอ่านและดูมาก่อน
จากการฟังทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ความหมายของคำศัพท์
และการฟังประโยคต่างๆซึ่งจะอยู่ในขั้นของการแปลและการถอดความ
วันพฤหัสบดีที่
22
,วันศุกร์ที่ 23 และวันเสาร์ที่ 24 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการดูหนังเรื่อง
Animals Farm จาก https://www.youtube.com/watch?v=J7yAa6NZI5U
ความยาวของหนังประมาณ 1 ชั่วโมง 17 นาที เหตุผลที่ดิฉันเลือกดูหนังเรื่องนี้ในการฝึกทักษะการฟังเพราะ
ในวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษ อาจารย์ผู้สอนให้ดูหนังและวิจารณ์หนังในแต่ละเรื่องตามกระบวนการที่อาจารย์ได้สอน
ดิฉันดูหนังเรื่องนี้อยู่ประมาณ 4 รอบเพราะสนุกและต้องการที่จะเข้าใจอย่างแท้จริง
แต่ก็สรุปได้เพียงคร่าวๆเพราะสำเนียงภาษาที่ตัวละครใช้ฟังยากไปบางตอน ซึ่งจากการดูหนังเรื่องนี้
สามารถสรุปได้ว่า มิสเตอร์โจนส์ ชายขี้เมาผู้ขาดความเอาใจใส่ เป็นเจ้าของ
แมนเนอร์ฟาร์ม และในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังดื่มสุรากับเพื่อน บรรดาสัตว์นัดพบกันในโรงนา
เพื่อฟังคำปราศรัยที่กล่าวถึงการปลดปล่อยโดย ผู้นำหมูเฒ่า
เขากล่าวกับพวกสัตว์ว่า มนุษย์เป็นต้นกำเนิดของการเอาเปรียบ มิสเตอร์โจนส์ได้ยินเสียงแว่ว
ๆ แต่ทันใดนั้นเอง ปืนที่มิสเตอร์โจนส์ถือเกิดลั่นไปฆ่าชีวิตของหมูเฒ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ
และในวันต่อมาเจ้าหมู 2 ตัวคือ สโนว์บอลและนโปเลียน ได้บอกกับสัตว์ทั้งหลายว่า
มันทั้งสองจะเป็นผู้นำตามแนวความคิด และปฏิบัติของหมูเฒ่า พวกมันทั้งหมดจึงก่อการกบฏ
ขับไล่มิสเตอร์โจนส์และภรรยาของเขา สโนว์บอลจัดการเปลี่ยนชื่อ Manor Farm ใหม่เป็น Animal Farm สัตว์ต่าง
ๆได้รับรู้ถึงการละเมิดกฎของหมูผู้นำ มิสเตอร์โจนส์กับพวกของเขา ตัดสินใจที่จะต่อสู้
เพื่อยึดฟาร์มที่เคยเป็นของพวกเขากลับคืนมา สุดท้ายสัตว์ในฟาร์มได้รับชัยชนะ
จากนั้นสโนว์บอลถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏโดยนโปเลียน
มิสเตอร์โจนส์ได้โอกาสที่จะแก้แค้น โดยจัดการวางระเบิดกังหันลม
นโปเลียนโยนความผิดให้กับสโนว์บอลว่าเป็นผู้ก่อการกบฎ บรรดาสัตว์ต่าง ๆ
ได้รับอาหารการกินไม่เพียงพอ นโปเลียนโยนความผิดทั้งหมด ให้กับสโนว์บอลเช่นเคย สะท้อนให้เห็นการปกครองที่กดขี่ของนโปเลียน
มีเพิ่มมากขึ้น สัตว์ทั้งหลายต่างพากันหนี สัตว์บางตัวที่หนีออกจากฟาร์ม
ได้ย้อนกลับไปค้นหาความจริง แล้วก็พบว่าการบริหารของผู้นำ เป็นไปด้วยความล้มเหลว
และในการที่สัตว์หนีออกมา ก็มีอนาคตที่ดีกว่ารออยู่ คือการได้รับความเห็นใจ
จากครอบครัวใหม่ที่เข้ามาดูแล และลูก ๆ รุ่นใหม่ของสัตว์ต่างๆก็อยู่อย่างมีความสุข
ในวันศุกร์ที่ 23 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้นำหนังเรื่องนี้มาดูอีกครั้งเพราะมันสนุกมาก
จากนั้นในวันเสาร์ที่ 24 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้นำหนังเรื่องนี้มาฝึกทักษะการฟังอีกครั้งเพื่อเป็นการทบทวนในการสร้างการสรุปหนัง
ซึ่งเป็นชิ้นงานของวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษที่ดิฉันจะต้องเขียนและวิจารณ์หนังที่ดู และจากการสรุปความทั้งหมดนี้
นอกจากได้รู้คำศัพท์ยากต่างๆ ประโยคที่แปลกๆที่ไม่คุ้นเคย ในกระบวนการแปลภาษาแล้วดิฉันยังได้ข้อคิดว่าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการปกครองประเทศของผู้ที่มีอำนาจหน้าที่
ซึ่งผู้นำฟาร์มในเรื่องเปรียบเสมือนผู้นำประเทศและสัตว์ต่างๆ เปรียบเสมือนประชาชน
แต่เพราะความโลภ และคดโกงจึงทำให้ระบบการปกครองไม่มีประสิทธิภาพ ประเทศชาติไม่มีการพัฒนาเช่นกัน
วันอาทิตย์ที่
25
– วันจันทร์ที่ 26 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการดูหนังเรื่อง Frankenstein (2011) จาก https://www.youtube.com/watch?v=vJ0AjTmnw1c
ความยาวของหนังประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที เหตุผลที่ดิฉันเลือกหนังเรื่องนี้ในการฝึกทักษะการฟัง
เพราะว่าหนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ในรายวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษกำลังศึกษาอยู่
และหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุก ตื่นเต้นและน่าสนใจมาก การแปลและการถอดความจากการดูหนังเรื่องนี้
สามารถสรุปได้ดังนี้ เมื่อ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ นักวิทยาศาสตร์หนุ่มอัจฉริยะ ผู้ฉลาดมาก
ได้ศึกษาค้นคว้าในการสร้างสิ่งมีชีวิตจากซากศพอย่างลับๆ ร่วมกับ อิกอร์ เขาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย
Genevan เขาศึกษาเกี่ยวกับกระดูก
เขาประดิษฐ์อสูรร้ายขึ้นมาจากซากศพ และสอนให้มันดุร้าย โหด ต่อสู้โดยไม่เกรงกลัวใคร
และใส่ชีวิตให้มัน มันจึงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่น่ากลัว
คนส่วนใหญ่จะกลัวและรังเกียจมันเป็นอย่างมาก เพราะมันอยู่น่ากลัว อัปลักษณ์ แต่ไม่ว่าคนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆก็แล้วแต่
ก็ย่อมต้องการความรักทั้งนั้น ผู้สร้างอสูรร้ายขึ้นมานั้นเขาไม่เคยใส่ใจ
หรือให้ความรักมันเลย มันจึงโดดเดี่ยวและดุร้ายมากขึ้น สามารถฆ่าและกินมนุษย์ได้
มันโกรธที่ผู้สร้างมันมาไม่สนใจมัน มันเลยไปฆ่าผู้คนจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นมีน้องชายและภรรยาของแฟรงเกนสไตน์ที่ได้เสียชีวิตจากการถูกฆ่าโดยอสูรร้ายด้วย
แฟรงเกนสไตน์โกรธมากและได้ตามล่าเพื่อต้องการแก้แค้นด้วยการฆ่าอสูรร้ายตัวนั้น
และเพื่อเป็นการหยุดมันเพื่อไม่ให้ไปทำร้ายใครอีก
แต่สุดท้ายแฟรงเกนสไตน์ก็ได้ตายลงเพราะถูกอสูรร้ายที่เขาสร้างขึ้นมาฆ่าเขาเอง ซึ่งเรื่องนี้ดิฉันเคยเรียนและทำความเข้าใจมาก่อนแล้วในรายวิชา
วรรณคดีภาษาอังกฤษ ในวันจันทร์ที่ 26
เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้นำหนังเรื่องนี้มาดูอีกครั้งเพื่อเป็นการทบทวนเนื้อหา
คำศัพท์ยากที่ยังไม่ทราบและที่สำคัญคือการพัฒนาทักษะการฟังของดิฉันด้วย
จากการศึกษาและพัฒนาทักษะการฟังในครั้งนี้ดิฉันได้เรียนรู้คำศัพท์ยากที่ยังไม่รู้ความหมาย
กระบวนการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอย่างถูกต้องตามหลักการต่างๆอีกด้วย และที่สำคัญอีกอย่างคือ
ข้อคิดสำหรับเรื่องนี้ คือ มนุษย์สามารถสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมเทคโนโลยีเหล่านั้นได้
เทคโนโลยีดังกล่าวจึงกลับมาทำร้ายมนุษย์
จากการฝึกทักษะในสัปดาห์นี้ดิฉันได้พัฒนาทักษะการฟังของดิฉันไปได้ในระดับที่ดีขึ้น
ซึ่งดิฉันจะฝึกดังนี้ วันอังคารที่ 20
– วันพุธที่ 21 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการฟัง เรื่อง Snow White And The Seven
Dwarfs (1937) เหตุผลที่เลือกฟังจากหนังเรื่องเพราะ
เป็นหนังที่น่าสนใจและเป็นเรื่องที่ทุกคนเคยอ่านหรือเคยรู้มาแล้ว
ซึ่งโดยส่วนมากมีคนชอบ และจากการฟังในครั้งนี้สามารถฟังเข้าใจได้ง่าย เพราะเป็นเรื่องราวที่ดิฉันเคยอ่านและดูมาก่อน
จากการฟังทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ความหมายของคำศัพท์ยากต่างๆ และการฟังประโยคต่างๆซึ่งจะอยู่ในขั้นของการแปลและการถอดความ
ต่อด้วยวันพฤหัสบดีที่ 22 ,วันศุกร์ที่ 23 และวันเสาร์ที่ 24 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการดูหนังเรื่อง Animals Farm เหตุผลที่ดิฉันเลือกดูหนังเรื่องนี้ในการฝึกทักษะการฟังเพราะ
ในวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษ
อาจารย์ผู้สอนให้ดูหนังและวิจารณ์หนังในแต่ละเรื่องตามกระบวนการที่อาจารย์ได้สอน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องนี้เป็นหนังที่ดิฉันเลือกทำ และจากการสรุปเนื้อหาจากการฟังเรื่องดังกล่าวนี้
นอกจากได้รู้คำศัพท์ยากต่างๆ ประโยคที่แปลกๆที่ไม่คุ้นเคย
ในกระบวนการแปลภาษาแล้วดิฉันยังได้ข้อคิดว่าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการปกครองประเทศของผู้ที่มีอำนาจหน้าที่
ซึ่งผู้นำฟาร์มเปรียบเสมือนผู้นำประเทศและสัตว์ต่างๆ เปรียบเสมือนประชาชน
แต่เพราะความโลภ และการคดโกงจึงทำให้ระบบการปกครองไม่มีประสิทธิภาพ
ประเทศชาติไม่มีการพัฒนา และสุดท้ายของสัปดาห์นี้ คือ วันอาทิตย์ที่ 25 – วันจันทร์ที่ 26 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการดูหนังเรื่อง Frankenstein (2011) เหตุผลที่ดิฉันเลือกหนังเรื่องนี้ในการฝึกทักษะการเพราะว่าหนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ในรายวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษกำลังศึกษาอยู่
และหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุก ตื่นเต้นและน่าสนใจมาก และจากการศึกษาและพัฒนาทักษะการฟังในครั้งนี้ดิฉันได้เรียนรู้คำศัพท์ยากที่ยังไม่รู้ความหมาย
กระบวนการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอย่างถูกต้องตามหลักการต่างๆอีกด้วย
และที่สำคัญอีกอย่างคือ ข้อคิดสำหรับเรื่องนี้ คือ
มนุษย์สามารถสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาได้
แต่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมเทคโนโลยีเหล่านั้นได้
สุดท้ายเทคโนโลยีดังกล่าวจึงกลับมาทำร้ายมนุษย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น