วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

งานแปล นิยายเรื่อง "Robinson Crusoe"

Robinson Crusoe
(First)
การเดินทางทางทะเลครั้งแรกของผม
                ก่อนที่จะเริ่มกล่าวถึงเรื่องของผม ผมอยากจะบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผมสักเล็กน้อย
                ผมเกิดในปี 1632 ในเมืองนิวยอร์ก ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ พ่อของผมเป็นชาวเยอรมัน แต่มาอาศัยและทำงานในประเทศอังกฤษ และหลังจากนั้นไม่นานพ่อและแม่ของผมก็แต่งงานกัน แม่ของผมเป็นชาวอังกฤษ สกุลของครอบครัวแม่คือ Robinson ดังนั้น เมื่อผมเกิดมา พวกเขาจึงเรียกผมว่า Robinson ตามแม่ของผมด้วย
                พ่อของผมทำธุรกิจที่ดี ผมจึงได้เข้าเรียนโรงเรียนที่ดี พ่อต้องการให้ผมได้ทำงานที่ดี มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและสะดวกสบาย แต่ผมไม่ต้องการเช่นนั้น ผมต้องการการผจญภัยและใช้ชีวิตแบบน่าตื่นเต้น
                ผมต้องการเป็นทหารเรือและไปในทะเลผมบอกแม่และพ่อของผม พวกเขารู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้มาก
                อย่าไปเลยนะพ่อผมพูด ลูกจะไม่มีความสุขเลย ลูกก็รู้ ทหารเรือมีชีวิตที่ลำบากและอันตรายเพราะว่าพ่อรักผม และคิดว่าผมคงไม่มีความสุข พ่อพยายามที่จะลืมเรื่องนี้ให้ได้
                แต่ผมไม่สามารถลืมได้ และประมาณ 1 ปีต่อมา ผมได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งในนิวยอร์ก พ่อของเขามีเรือ และเพื่อนของผมพูดกับผมว่า พวกเราจะล่องเรือไปลอนดอนในวันพรุ่งนี้ ทำไมคุณถึงไม่ไปกับพวกเรา
                หลังจากนั้น ในวันที่ 1 เดือน กันยายน ปี 1651 ผมได้เดินทางไปฮอลล์ (Hull) และในวันรุ่งขึ้น พวกเราก็ได้เดินทางไปลอนดอน
                แต่ไม่กี่วันต่อมา ที่นั่นก็มีลมแรง ทะเลมีพายุรุนแรงและอันตรายมาก เรือจึงสูงขึ้นและต่ำลงตามกระแสคลื่น ผมรู้สึกไม่ดีและกลัวเป็นอย่างมาก
                โอ้ ผมยังไม่อยากตายผมร้องไห้ ผมต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้าผมปลอดภัย ผมจะกลับบ้านและจะไม่มาทะเลอีกเลย
                วันต่อมา ลมก็สงบลง และทะเลก็กลับมาเงียบสงบและสวยงามอีกครั้ง
                “ดีขึ้นแล้ว Bob” เพื่อนของผมหัวเราะ แล้วถามผมว่า ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง พายุก็ได้สงบลงแล้ว
                “อะไรผมร้องไห้ มันเป็นพายุที่น่ากลัวมาก
                “โอ้ นั่นมันไม่ใช่พายุเพื่อนของผมบอก เป็นเพียงลมเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง ลืมมันเถอะ แล้วมาดื่มกัน
            หลังจากที่ดื่มกับเพื่อนของผมไปเพียงเล็กน้อย ผมก็รู้สึกดีขึ้น ผมลืมเกี่ยวกับอันตรายเหล่านั้นและตัดสินใจที่จะไม่กลับบ้าน ผมไม่ต้องการให้เพื่อนของผมและครอบครัวของผมหัวเราะเยาะ
                ผมพักอยู่ในลอนดอนเป็นบางเวลา แต่ผมยังคงต้องการไปที่ทะเลอีก ด้วยเหตุนี้ เมื่อกัปตันเรือถามผมว่าจะไปประเทศกินี (Guinea)  ในทวีปแอฟริกากับเขาไหม ผมก็ตอบเขาไปว่าตกลง ผมจึงได้ไปทะเลเป็นครั้งที่สอง
                มันเป็นเรือที่ดีและทุกอย่างเป็นไปด้วยดีในตอนแรก แต่ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเมื่อพวกเราอยู่ใกล้กับเกาะคานารี (Canary Islands) ก็มีเรือโจรสลัดตุรกีตามพวกเรามา พวกเขาเป็นโจรที่เป็นที่รู้จักของทะเลแถบนี้ในช่วงเวลานั้น เป็นเวลานานในการต่อสู้อย่างรุนแรง แต่เมื่อการต่อสู้จบลง พวกเราและเรือก็กลายเป็นเชลย
                กัปตันตุรกีและคนของเขานำพวกเราไปยัง Sallee ในมอร็อคโค (Morocco) พวกเขาต้องการที่จะขายพวกเราราวกับทาสในตลาดของที่นั่น แต่ในท้ายที่สุดกัปตันตุรกีตัดสินใจที่จะเก็บผมไว้อยู่กับเขาและนำผมกลับบ้านของเขา นี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและน่ากลัวในชีวิตของผม ตอนนี้ผมกลายเป็นทาสและกัปตันตุรกีคือเจ้านายของผม
ชายฝั่งตอนล่างของแอฟริกา
            สำหรับระยะเวลา 2 ปีที่ยาวนานที่ผมมีชีวิตแบบทาส ผมต้องทำงานทั้งในบ้านและในสวน ผมวางแผนที่จะหลบหนีในทุกๆวัน แต่มันก็ไม่เคยเป็นไปได้ ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน เจ้านายของผมชอบไปตกปลาในเรือเล็กๆ และเขาจะพาผมไปด้วยเสมอโดยมีผู้ชายที่ชื่อว่า Moely และเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนไปกับพวกเราด้วย
                วันหนึ่งเจ้านายของผมบอกกับพวกเราว่า ในวันพรุ่งนี้เพื่อนของข้าบางคนจะไปตกปลาด้วย เตรียมเรือไว้ให้พร้อม
                ดังนั้น พวกเราจึงวางอาหารและเครื่องดื่มจำนวนมากไว้บนเรือ เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเรารอเจ้านายและเพื่อนของเขาแต่เมื่อเจ้านายของผมมาถึง เขาก็มาแค่คนเดียว
                วันนี้เพื่อนของข้าไม่ได้ไปตกปลาด้วยเขาบอกผม แต่คุณต้องไปกับ Moely และเด็กหนุ่ม แล้วจับปลามาเล็กน้อยสำหรับอาหารมื้อเย็นของพวกเราในคืนนี้
                “ได้ครับ เจ้านายผมตอบไปอย่างเบาๆแต่ภายในผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก บางทีตอนนี้ผมไม่สามารถหนีได้ผมบอกตัวผมเอง
                เจ้านายของผมกลับไปที่เพื่อนของเขาและพวกเราก็นำเรือออกทะเล พวกเราตกปลากันอย่างเงียบๆ ผมเคลื่อนที่อย่างระมัดระวังไปทางด้านหลังของ Moely และตีเขาลงในทะเล ว่ายน้ำซิผมตะโกน ว่ายน้ำไปที่ชายฝั่ง
                เจ้านายของผมชอบการยิงนกทะเล ฉะนั้นที่นี่จึงมีปืนบนเรือ ผมนำปืนมา 1 กระบอก Moely ได้ว่ายน้ำตามเรือมาและผมก็ตะโกนเรียกเขา
                กลับไปที่ชายฝั่งเถอะ คุณสามารถว่ายน้ำไปที่นั่นได้ เพราะมันอยู่ไม่ไกลจนเกินไป ผมจะไม่ทำร้ายคุณ แต่ถ้าคุณเข้ามาใกล้เรือ ผมจะยิงศีรษะคุณ Moely จึงย้อนกลับและว่ายน้ำกลับไปยังฝั่งอย่างรวดเร็ดเท่าที่เขาสามารถทำได้
                จากนั้นผมได้พูดกับชายหนุ่มว่า “Xury ถ้าคุณช่วยผม ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่ช่วยเหลือผม ผมจะผลักคุณลงไปในทะเลเช่นกัน
                แต่ Xury ดูมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผม ผมจะไปทุกๆที่ในโลกนี้กับคุณเขาตะโกนขึ้น
                ผมต้องการที่จะล่องเรือไปยังเกาะคานารี (Canary Islands) แต่ผมรู้สึกกลัวที่จะไปไกลจากฝั่งมากเกินไป เพราะมันเป็นเพียงแค่เรือลำเล็ก ฉะนั้นพวกเราจึงล่องเรืออยู่ทางใต้หลายวัน พวกเรามีน้ำน้อยมาก และที่นี่ก็เป็นเมืองที่อันตราย มีสัตว์ป่าจำนวนมาก พวกเรารู้สึกกลัวแต่พวกเราจะต้องไปหาน้ำเพิ่มที่ชายฝั่ง ครั้งหนึ่งผมเคยใช้ปืนยิงสัตว์ป่าไปหนึ่งตัว ผมไม่ทราบว่ามันคือตัวอะไร แต่มันเป็นมื้อที่เยี่ยมมาก
                ประมาณ 10 หรือ 12 วัน ที่พวกเราล่องเรืออยู่ทางตอนใต้ ชายฝั่งตอนล่างของแอฟริกา แล้ววันหนึ่งพวกเราก็เห็นผู้คนบนชายฝั่ง แต่พวกเขาดูแปลกๆ พวกเขาเป็นคนป่า ผู้ซึ่งดูแล้วไม่น่าเป็นมิตร ในขณะนี้พวกเรามีอาหารอยู่น้อยมาก และพวกเราต้องการความช่วยเหลือจริงๆ พวกเรารู้สึกกลัวแต่พวกเราก็จะต้องไปบนฝั่ง ในตอนแรกพวกเขาก็กลัวพวกเราเหมือกัน บางทีคนผิวขาวอาจจะไม่เคยมาเที่ยวชายฝั่งนี้เลย พวกเราไม่สามารถพูดภาษาของพวกเขาได้ แน่นอนว่า พวกเราจะต้องใช้มือและหน้าของพวกเราในการแสดงให้เห็นว่าพวกเรากำลังหิวอยู่ พวกเขาจึงนำอาหารมาให้สำหรับพวกเรา แต่จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายออกไปอย่างรวดเร็วมาก พวกเราแบกอาหารขึ้นบนเรือ พวกเขามองดูพวกเรา ผมกล่าวขอบคุณพวกเขา แต่ผมไม่มีอะไรที่จะให้พวกเขาเลย
                จากนั้นได้มีแมวป่าตัวใหญ่ 2 ตัว ลงจากบนภูเขามาที่ชายฝั่ง ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นเสือดาว ผู้คนต่างก็กลัวแมวป่าเหล่านี้ ผู้หญิงต่างก็ร้องไห้ออกมา ผมนำปืนออกมาและยิงไปที่แมวป่าตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว แมวป่าตัวที่สองได้วิ่งกลับไปบนภูเขา
                ปืนถือเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับคนแอฟริกาเหล่านี้ พวกเขากลัวเสียงที่ดังและควัน แต่พวกเขามีความสุขที่แมวป่าได้ตาย ผมให้แมวป่าที่ตายเป็นอาหารของพวกเขา และพวกเขาก็ให้อาหารและน้ำกับพวกเราอย่างมากมาย
                ตอนนี้พวกเรามีอาหารและน้ำจำนวนมาก พวกเราก็แล่นเรือต่อไปเป็นเวลา 11 วัน ต่อมาพวกเราเดินเดินทางเข้าไปใกล้กับหมู่เกาะเคปเวิร์ด (The Cape Verde Island) พวกเราสามารถมองเห็นมันได้ แต่พวกเราไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆได้ เพราะที่นั่นไม่มีลม ซึ่งพวกเราจะต้องรอ
                ทันใดนั้น Xury บอกผมว่า ดูเรือนั่นสิเขาอยู่ด้านขวา พวกเราตะโกนร้องเรียกและแล่นเรือลำเล็กของพวกเราอย่างรวดเร็วเท่าที่เราสามารถทำได้ แต่เรือลำนั้นไม่เห็นพวกเรา จากนั้นผมจำได้ว่าปืนกระบอกนั้นสร้างควันได้จำนวนมาก ไม่กี่นาทีต่อมาเรือลำนั้นก็เห็นพวกเราและย้อนกลับมา
                เมื่อพวกเราอยู่บนเรือ กัปตันโปรตุเกสฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของผม เขากำลังจะไปบลาซิล (Brazil) และยินดีที่จะช่วยผม แต่เขาไม่ต้องการผลตอบแทนในความช่วยเหลือของเขา ไม่เขาพูด เมื่อผมพยายามจะจ่ายเงินให้เขา บางทีวันหนึ่ง จะมีคนที่จะช่วยเหลือผมเมื่อผมต้องการมัน  
                แต่เขาก็ให้เงินผมสำหรับค่าเรือของผม และสำหรับค่าตัวของ Xury ด้วย ในตอนแรก ผมไม่ได้ต้องการที่จะขาย Xury ราวกับทาส หลังจากที่ผจญภัยอันตรายต่างๆมาด้วยกัน แต่ Xury ดูมีความสุขที่จะได้ไปกับกัปตัน และอีกอย่างกัปตันเป็นคนดี ในเวลา 10 ปีเขาพูด “Xury จะเป็นอิสระ
                3 สัปดาห์ต่อมา พวกเราเดินทางถึงบลาซิล (Brazil) ผมกล่าวลากัปตันและ Xury ผมกลับไปที่เรือและไปเริ่มตันชีวิตใหม่
พายุและซากเรืออัปปาง
            ผมอาศัยอยู่ในบลาซิลและทำงานอย่างหนักเป็นเวลาไม่กี่ปี จากนั้นไม่นานผมก็รวย แต่ยิ่งไปกว่านั้นผมรู้สึกเบื่อ วันหนึ่งเพื่อนของผมมาหาผมและพูดว่า พวกเรากำลังจะไปแอฟริกาเพื่อไปทำธุรกิจ ทำไมคุณถึงไม่ไปกับพวกเรา พวกเราทั้งหมดจะรวยหลังจากการเดินทางครั้งนี้
                ด้วยเหตุใดผมถึงโง่เพียงนี้ ทั้งๆที่ผมมีชีวิตที่เรียบง่ายและสะดวกสบายอยู่แล้วในบลาซิล แต่ผมก็ยังตอบตกลงเขาไป ในปี 1659 ผมเดินทางไปทะเลอีกครั้ง
                ในช่วงแรก การเดินทางเป็นไปด้วยดี แต่จากนั้นก็เกิดพายุที่น่ากลัวขึ้น เป็นเวลา 12 วันที่มีลมและฝนตกตลอดเวลา พวกเราสูญเสียผู้ชาย 3 คนในทะเล และในไม่ช้าเรือของพวกเราก็เริ่มมีรอยโหว่ ในเวลานี้พวกเราทั้งหมดจะต้องตายแน่ๆผมพูดกับตัวเอง จากนั้นในเช้าวันหนึ่ง ลูกเรือคนหนึ่งได้เห็นฝั่ง แต่หนึ่งนาทีถัดไป เรือของพวกเราก็กระทบกับทรายที่อยู่ใต้ทะเลพอดี เรือไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ และตอนนี้พวกเราตกอยู่ในอันตรายจริงๆ คลื่นลมรุนแรงกำลังพยายามทำลายเรือออกเป็นชิ้นๆ พวกเราก็มีเวลาน้อยมาก พวกเรารีบออกจากเรือทิ้งเรือไว้ในทะเล แต่ทะเลก็ยังมีคลื่นแรงและเรือลำเล็กๆของพวกเราก็พังลง
                ครึ่งชั่วโมงต่อมา คลื่นลมรุนแรงก็ได้หมุนเรือของพวกเราและพวกเราทั้งหมดลงไปในน้ำ ผมมองหาเพื่อนของผมไปรอบๆ แต่ผมก็ไม่พบใครเลย ผมรู้สึกโดดเดี่ยว
                วันนั้นผมก็ปลอดภัย และคลื่นลมรุนแรงก็พาผมไปติดอยู่ที่ชายฝั่ง ผมมองไม่เห็นพื้นดินเลย เพราะรอบๆตัวผมมีเพียงแค่ภูเขาที่อยู่ในน้ำ ต่อมาทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนมีพื้นดินอยู่ใต้เท้าของผม ภูเขาที่อยู่ในน้ำก็ใกล้เข้ามาผลักผม ให้ผมขึ้นไปที่ชายหาด ผมรู้สึกเหมือนอยู่บนทรายที่เปียก
                ในตอนแรกผมรู้สึกขอบคุณมากที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมได้จับเท้าของผมอย่างช้าๆ และเดินขึ้นไปบนฝั่ง จากที่นั่น ผมมองออกไปในทะเล ผมเห็นเรือของพวกเราแต่มันก็พังทลายแล้ว และก็ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆกับมันเลย ในทะเลไม่มีใครเลย เพื่อนของผมทั้งหมดเสียชีวิต ผมปลอดภัยแต่ต้องอาศัยอยู่ในป่าที่แปลกๆ ที่ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำและไม่มีปืน
                ในตอนนั้นมันมืดไปหมด ผมรู้สึกอ่อนเพลียมาก ผมรู้สึกกลัวที่จะนอนบนชายฝั่งนี้ บางทีที่นั่นอาจจะมีสัตว์ป่าอยู่ ดังนั้นผมจึงขึ้นไปบนต้นไม้และอยู่ที่นั่นตลอดทั้งคืน


Robinson Crusoe
(Second)
ชีวิตใหม่บนเกาะแห่งหนึ่ง
                วันต่อมาทะเลก็เงียบสงบลงอีกครั้ง ผมมองหาเรือของพวกเรา ผมประหลาดใจเพราะมันยังคงอยู่ที่นั่นและยังคงอยู่ในชิ้นเดียวกัน ผมคิดว่าผมสามารถว่ายน้ำไปที่มันได้ผมพูดกับตัวผมเอง ดังนั้น ผมจึงเดินลงไปที่ทะเล และอีกไม่นานผมก็อยู่ที่เรือและได้ว่ายน้ำไปรอบๆมัน แต่ผมจะทำอย่างไรกับมันต่อไปในที่สุด ผมก็ฝังหัวผ่านรูในด้านข้างของเรือแต่มันไม่ได้ง่ายเลย
                ในเรือมีน้ำอยู่จำนวนมาก แต่ทรายใต้ทะเลก็ยังคงเกาะอยู่ที่เรือ ด้านหลังของเรืออยู่สูงจากน้ำ ผมรู้สึกขอบคุณสิ่งนี้มาก เพราะอาหารในเรือทั้งหมดอยู่ที่นั่น ผมหิวมากจึงทานอะไรบางอย่างไปทันที จากนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะนำบางส่วนของเรือกลับไปยังชายฝั่งกับผม แต่ผมจะนำมันไปที่นั่นได้อย่างไร
                ผมมองไปรอบๆเรือ และหลังจากนั้นไม่กี่นาที ผมก็พบแผ่นไม้บางแผ่นที่ยาว ผมจึงมัดแผ่นไม้เหล่านั้นให้ติดกันด้วยเชือก จากนั้นผมก็ได้ในสิ่งที่ผมต้องการจากเรือ ที่นั่นมีกล่องอาหารขนาดใหญ่กล่องหนึ่งที่บรรจุข้าว, เนื้อเค็มและขนมปังแข็งที่เป็นเสบียงสำหรับทหาร ผมหยิบมีดที่แข็งแกร่งมาหลายเล่ม รวมทั้งเครื่องมืออื่นๆมาด้วย คือ ใบเรือและเชือก, กระดาษ, ปากกา, สมุด และปืนจำนวน 7 กระบอก ตอนนี้ผมต้องการใบเรือเล็กๆจากเรือ สักหนึ่งใบ และผมก็พร้อมแล้ว ผมกลับไปยังชายฝั่งอย่างช้าๆ และอย่างระมัดระวัง มันเป็นสิ่งที่ยากที่ผมจะรั้งสิ่งของของผมไม่ให้ตกลงไปในทะเล แต่ในที่สุด ผมก็นำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นไปยังชายฝั่งได้
                ขณะนี้ผมต้องการที่ใดสักแห่งสำหรับเก็บสิ่งของของผม
                ที่นั่นมีเนินเขาอยู่รอบๆตัวผม ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะสร้างบ้านหลังเล็กๆของผมบนที่แห่งนั้น ผมเดินขึ้นไปยังด้านบนที่เป็นจุดสูงสุดของเนินเขาและมองลงมา ผมรู้สึกมีความสุขมาก เพราะผมมองเห็นเกาะเกาะหนึ่ง ที่นั่นมีเกาะเล็กๆอยู่สองเกาะ ซึ่งห่างออกไปเพียงไม่กี่ไมล์ และถัดมาก็มีเพียงแค่ทะเล ถึงจะถัดมากี่ไมล์ๆ ก็มีเพียงแค่ทะเล
                เวลาต่อมา ผมพบถ้ำเล็กๆในด้านข้างของเนินเขา ซึ่งในด้านหน้าของถ้ำ มีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับสร้างบ้าน ผมได้ใช้ใบเรือ, เชือกและแผ่นไม้ในการสร้าง จากนั้นผมก็ทำงานอย่าหนักมากและผมก็ได้เต็นท์ที่แข็งแรงมากเช่นกัน ถ้ำที่อยู่ด้านหลังเต็นท์ของผมเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการเก็บอาหารของผม ผมจึงเรียกมันว่า ห้องครัวของผมในคืนนั้น ผมนอนในบ้านหลังใหม่ของผม
                วันต่อมา ผมก็คิดเกี่ยวกับความอันตรายบนเกาะแห่งนี้ บนเกาะของผมมันจะมีสัตว์ป่า หรือคนป่าอยู่ด้วยหรือไม่ผมไม่รู้เลย แต่ผมรู้สึกหวาดกลัวมาก ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจสร้างรั้วที่มีความแข็งแรงมากๆ ผมตัดต้นไม้เล็กๆและวางต้นไม้เหล่านั้นลงบนพื้นดินเป็นรูปครึ่งวงกลมรอบๆด้านหน้าของเต็นท์ผม ผมได้ใช้เชือกเรือ ไปจำนวนมากเช่นกัน และในที่สุดรั้วของผมก็แข็งแรงราวกับกำแพงหิน โดยไม่มีใครสามารถข้ามผ่านมันขึ้นมาได้ ไม่สามารถผ่านมันได้และไม่สามารถล้อมรอบมันได้
                การสร้างเต็นท์และการสร้างรั้วเป็นงานที่หนักมาก ผมจึงต้องการเครื่องมือจำนวนมากสำหรับช่วยเหลือผม ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจกลับไปที่เรืออีกครั้ง และนำเครื่องมือต่างๆมามากมาย
                ผมกลับไปที่เรือสิบสองครั้ง แต่ในไม่ช้าหลังจากครั้งที่สิบสองที่ผมกลับมา ที่นั่นก็เกิดพายุที่น่ากลัวขึ้น เช้าวันถัดมา เมื่อผมมองออกไปที่ทะเล ที่นั่นก็ไม่มีเรืออยู่แล้ว
                เมื่อผมเห็นสิ่งนั้น ผมรู้สึกไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก ทำไมผมยังมีชีวิตอยู่ และทำไมเพื่อนของผมทั้งหมดถึงเสียชีวิตผมถามตัวผมเอง ตอนนี้อะไรจะเกิดขึ้นกับผมอีก ซึ่งผมอยู่เพียงลำพังบนเกาะแห่งนี้โดยปราศจากเพื่อน ผมจะทำอย่างไรจึงจะสามารถหลบหนีมันได้ตลอด
                จากนั้น ผมก็บอกตัวผมเองว่า ผมโชคดีแล้ว โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ โชคดีที่มีอาหารและเครื่องมือต่างๆ โชคดีที่ยังเป็นหนุ่มและยังแข็งแรง แต่ผมรู้ว่าเกาะของผม คือ ที่ใดสักแห่งที่อยู่ห่างจากชายฝั่งของอเมริกาใต้ ไม่บ่อยนักที่เรือจะผ่านลงมาที่เกาะแห่งนี้ และผมพูดกับตัวเองว่า ผมจะอยู่บนเกาะแห่งนี้เป็นเวลานานดังนั้นผมจึงสลักคำเหล่านี้ ลงบนแผ่นไม้ที่ยาวแผ่นหนึ่ง
ผมมาที่นี่ เมื่อวันที่ 30 เดือนกันยายน ปี 1659
หลังจากนั้น ผมได้ตัดสินใจสร้างสลักขึ้นในแต่ละวัน
การเรียนรู้ที่จะอยู่เพียงลำพัง
          ผมยังคงต้องการทำสิ่งต่างๆอีกมากมาย ถูกต้องผมพูด ผมต้องการที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น ผมจึงทำงานในทุกๆวัน
                สิ่งแรก คือ ผมต้องการที่จะสร้างถ้ำของผมให้ใหญ่ขึ้น ผมจึงขนหินออกไปวางห่างจากถ้ำ และหลังจากนั้นหลายวัน เป็นวันที่ผมทำงานหนักมาก แล้วผมก็มีถ้ำที่ใหญ่โตในด้านข้างของเนินเขา นอกจากนี้ ผมยังต้องการโต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้อีกหนึ่งตัว และสิ่งนั้นคือ งานชิ้นถัดไปของผม ผมทำงานเหล่านี้อยู่นานมาก ผมต้องการที่จะสร้างสถานที่สำหรับวางอาหาร, เครื่องมือและปืนของผมทั้งหมดไว้ด้วย แต่ทุกๆครั้งผมก็ยังคงต้องการแผ่นไม้เพิ่ม ผมจึงไปตัดต้นไม้ ซึ่งมันเป็นงานที่ทำยาก ใช้เวลานานและเป็นงานที่ทำได้ช้า และในระหว่างหนึ่งเดือนต่อจากนั้น ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือของผมได้อย่างคล่องแคล่ว ในประเด็นเหล่านั้นผมไม่ต้องรีบร้อนเพราะผมมีเวลาให้มันตลอดในโลกนี้
                ในทุกๆวันผมจะออกไปข้างนอก และจะนำปืนของผมไปด้วยตลอดเวลา บางครั้งผมก็ได้ฆ่าสัตว์ป่า ซึ่งทำให้ผมมีอาหารไว้ทาน
                แต่เมื่อมันเริ่มมืดลง ผมก็จะเข้านอนทันทีเพราะว่าผมไม่มีตะเกียง ผมไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้เพราะผมมองไม่เห็น เป็นเวลานานมากที่ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอะไร แต่ในที่สุด ผมก็ได้เรียนรู้ว่าสามารถใช้ไขมันของสัตว์ที่ตายแล้วสร้างเป็นไฟได้อย่างไร
                โดยปกติอากาศบนเกาะของผมจะร้อนมาก และบ่อยครั้งที่มีพายุและฝนตกอย่างหนักในเดือนมิถุนายน มันเป็นช่วงที่ฝนตกตลอดเวลา ผมไม่สามารถออกไปข้างนอกได้เลย ผมก็ล้มป่วยลงในไม่กี่สัปดาห์ แต่ไม่ช้าผมก็ดีขึ้น เมื่อผมแข็งแรงขึ้น ผมก็เริ่มออกไปข้างนอกอีกครั้ง สิ่งแรกที่ผมทำ คือ ฆ่าสัตว์ป่า และสิ่งที่สองคือ ผมจับเต่าตัวใหญ่ได้
                ผมอยู่บนเกาะแห่งนี้เป็นเวลา 10 เดือน ก่อนที่ผมจะไปพบบริเวณอื่นๆของเกาะในระหว่างเดือนเหล่านั้น ผมทำงานอย่างหนักกับถ้ำของผม, บ้านของผมและรั้วของผม ในขณะนี้ผมก็พร้อมออกไปค้นหาเกี่ยวกับที่สำหรับพักผ่อนบนเกาะแห่งนี้ให้มากขึ้น
                ลำดับแรก ผมเดินไปตามด้านข้างของแม่น้ำเล็กๆ ที่นั่นเป็นพื้นที่โล่งโดยปราศจากต้นไม้ ภายหลังที่ผมกลับมาอีก ก็มีต้นไม้และผลไม้หลากหลายชนิดจำนวนมาก ผมตัดสินใจนำผลไม้จำนวนมากกลับมา และนำมาวางตากแดดไว้ให้แห้ง จากนั้นผมสามารถเก็บผลไม้แห้งเหล่านี้ไว้ได้หลายเดือน
                ในคืนนั้น ผมไปนอนหลับบนต้นไม้เป็นครั้งที่สอง และวันต่อมา ผมก็ออกเดินทางไปตามทางของผม ในไม่ช้าผมก็มาถึงที่โล่งแจ้งในเนินเขา ด้านหน้าของผม ทุกๆสิ่งเป็นสีเขียวและมีดอกไม้ในทุกหนทุกแห่ง มีสัตว์และนกหลากหลายชนิดเป็นจำนวนมาก ผมเห็นว่าบ้านของผมอยู่บนด้านเลวร้ายที่สุดบนเกาะแห่งนี้ แต่ผมไม่ต้องการที่จะย้ายจากที่นั่น เพราะตอนนี้มันเป็นบ้านของผมแล้ว ผมได้อาศัยอยู่ที่นั่นตลอดระยะเวลาทั้งสามวัน และจากนั้นผมก็กลับบ้าน แต่ผมก็กลับไปที่นั่นบ่อยๆ ที่ซึ่งเป็นด้านที่มีอากาศสบายๆของเกาะแห่งนี้
                ชีวิตของผมก็ยังคงดำเนินต่อไปในทุกๆเดือน ผมได้เรียนรู้ที่จะทำหรือสร้างสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็มีปัญหาและเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเช่นกัน ครั้งหนึ่งที่นั่นมีพายุที่น่ากลัว รวมทั้งฝนที่ตกหนักมาก จนหลังคาของถ้ำของผมได้พังลงมาจนเกือบทำให้ผมตาย ผมได้สร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยแผ่นไม้จำนวนหลายแผ่น
                ในขณะนี้ผมมีอาหารจำนวนมาก ผมได้ทำอาหารจากผลไม้เหล่านี้ด้วยการตากแดดให้แห้ง ฉะนั้น ในระหว่างเดือนที่มีฝนตกชุก ผมก็จะมีอาหารที่เก็บไว้ทานได้ตลอดเวลา เมื่อผมไม่สามารถออกไปล่าสัตว์ได้ ผมได้เรียนรู้การสร้างหม้อสำหรับเก็บรักษาอาหารของผมไว้ด้านใน แต่ผมต้องการหม้อที่ทนทานและแข็งแรงเป็นอย่างมาก หม้อของผมจะต้องไม่แตกเมื่อโดนไฟ ผมพยายามทำหลายครั้งมาก แต่ผมก็ไม่สามารถทำมันได้ ต่อมาวันหนึ่งผมโชคดีมาก ผมสร้างหม้อใบใหม่หลายๆใบและวางหม้อเหล่านั้นลงบนไฟที่ร้อนมากๆ หม้อเหล่านั้นเพียงแต่เปลี่ยนสีแต่ไม่แตก ผมปล่อยหม้อเหล่านั้นทิ้งไว้หลายชั่วโมงและเมื่อมันเริ่มเย็นลงอีกครั้ง ผมก็พบว่ามันทนทานและแข็งแรงมาก ในคืนนั้นผมรู้สึกมีความสุขมาก ซึ่งเป็นครั้งแรกบนเกาะแห่งนี้ที่ผมมีน้ำร้อน
                จากนั้น ผมต้องการจะทำขนมปังด้วยตัวผมเอง ที่โชคดีด้วยเช่นกัน คือ วันหนึ่ง ผมพบกระเป๋าใบเล็กๆ ซึ่งพวกเราใช้มันบนเรือ สำหรับเก็บอาหารไก่ มันยังคงมีอาหารบางส่วนเหลืออยู่ในกระเป๋าใบนั้น ผมหว่านอาหารไก่บางส่วนลงบนพื้นดิน หนึ่งเดือนต่อมา ผมเห็นบางสิ่งเขียวชอุ่มอยู่ที่นั่น และหกเดือนต่อจากนั้น ผมก็มีทุ่งนาที่เล็กมากๆ ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก บางทีตอนนี้ผมก็สามารถทำขนมปังด้วยตัวเองได้
                มันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูด แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ มันเป็นงานที่เยอะมากในการทำขนมปังจากเมล็ดธัญพืช มีผู้คนจำนวนมากที่ทานขนมปัง แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถนำเมล็ดธัญพืชจากทุ่งนาและนำมาทำเป็นขนมปังออกมาโดยปราศจากอุปกรณ์ใดๆผมได้เรียนรู้และทำสิ่งใหม่ๆต่างๆมากมาย มันเป็นเวลา 1 ปีก่อนที่ผมจะทำอาหารและทานได้เป็นครั้งแรก
                ในช่วงเวลานี้ ผมไม่เคยที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับการหลบหนี เมื่อผมได้เดินทางข้ามไปยังด้านอื่นๆของเกาะแห่งนี้ ผมสามารถเห็นเกาะอื่นๆได้ ผมจึงพูดกับตัวเองว่า บางทีผมสามารถไปที่นั่นได้ด้วยเรือ หรือบางทีผมสามารถกลับไปยังประเทศอังกฤษได้สักวันหนึ่ง
                ดังนั้น ผมได้ตัดสินใจสร้างเรือด้วยตัวผมเอง ผมตัดต้นไม้ต้นใหญ่หนึ่งต้น และจากนั้นก็เริ่มทำเป็นช่องยาวด้านใน มันเป็นงานที่หนักมาก แต่ประมาณหกเดือนต่อมา ผมก็ได้เรือแคนูที่แข็งแรงมาก จากนั้นผมนำมันลงไปที่ทะเล ผมโง่อะไรอย่างนี้” “ทำไมผมไม่คิดก่อนที่ผมจะเริ่มทำงานแน่นอนเลยคือ เรือแคนูมีน้ำหนักมาก ผมไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันได้ ผมทั้งดึงทั้งผลักและพยายามทำทุกสิ่ง แต่มันก็ไม่เคลื่อนที่ หลังจากนั้นมา ผมรู้สึกไม่มีความสุขเลยเป็นเวลานานมาก
                นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในช่วง 4 ปีบนเกาะแห่งนี้ ในช่วง 6 ปี ผมจะสร้างเรือแคนูลำเล็กๆด้วยตัวผมเอง แต่ผมจะไม่พยายามที่จะหลบหนีโดยใช้มัน เพราะเรือมีขนาดเล็กมากสำหรับการเดินทางที่ไกลๆ และผมไม่ต้องการที่จะตายที่ทะเล ในตอนนี้เกาะแห่งนี้เป็นเหมือนบ้านของผม มันไม่ใช่คุก และผมก็เกือบจะมีความสุขในการมีชีวิตอยู่ หนึ่งปีหรือสองปีที่ผ่านมา ผมได้สร้างเรือแคนูด้วยตัวผมเองเป็นลำที่สอง บนด้านอื่นๆของเกาะแห่งนี้ ผมได้สร้างบ้านของผมไว้ที่นั่นเป็นหลังที่สองเช่นกัน ดังนั้นผมจึงมีบ้านสองหลัง
                ชีวิตของผมยังคงยุ่งตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนค่ำ ที่นั่นมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงและสร้างขึ้นใหม่ตลอดเวลา ผมได้เรียนรู้การทำเสื้อผ้าใหม่สำหรับตัวผมจากหนังสัตว์ที่ตายแล้ว มันเป็นเรื่องที่แปลกมากแต่มันคือเรื่องจริง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นช่วยป้องกันผมไม่ให้เปียกฝนได้
                ผมเก็บรักษาทั้งอาหารและเครื่องมือทั้งหมดของผมไว้ในบ้านของผม รวมทั้งเลี้ยงแพะป่าไว้ด้วย มีแพะป่าจำนวนมากบนเกาะแห่งนี้ และผมก็สร้างรั้วที่สูงๆล้อมรอบทุ่งนาของผมไว้ สิ่งเหล่านั้นถูกค้นพบที่จะใช้เป็นอาหารด้วยตัวผมเอง ในไม่ช้าผมก็มีนมแพะไว้สำหรับดื่มในทุกๆวัน ผมได้ทำงานหนักในทุ่งนาของผมเช่นกัน ดังนั้น ก็เป็นเช่นนี้ผ่านไปหลายๆปี


Robinson Crusoe
(Third)
รอยเท้า
          หนึ่งปีต่อมา บางสิ่งที่แปลกและน่ากลัวก็ได้เกิดขึ้น ผมเดินไปตามชายหาดอยู่บ่อยๆและวันหนึ่ง ผมเห็นบางสิ่งบนหาดทราย ผมเข้าไปมองมันใกล้ๆอย่างระมัดระวัง และหยุดด้วยความประหลากใจอย่างฉับพลัน
                มันคือ รอยเท้า และเป็นรอยเท้าของมนุษย์
                เป็นรอยเท้าของใครกันนะ ผมกลัว ผมมองไปรอบๆตัวผม ผมฟัง ผมรอ มันก็ไม่มีอะไร ผมรู้สึกกลัวมากขึ้น บางทีมนุษย์คนนี้อาจจะเป็นหนึ่งในพวกคนป่า ผู้ซึ่งฆ่าและกินมนุษย์คนอื่นๆ ผมมองหาในทุกๆที่ แต่ก็ไม่มีใครเลย และไม่มีรอยเท้าอื่นๆเช่นกัน ผมเปลี่ยนใจและรีบกลับบ้าน
                มีใครบางคนบนเกาะของผมผมพูดกับตัวผมเอง บางทีเขารู้เกี่ยวกับผม บางทีตอนนี้เขากำลังมองผมจากด้านหลังต้นไม้ และบางทีเขาต้องการจะฆ่าผม
                ในคืนนั้นผมนอนไม่หลับ วันต่อมาผมจัดเตรียมปืนทั้งหมดของผมไว้พร้อม ผมวางไม้และต้นไม้ไว้รอบๆบ้านของผม ตอนนี้ไม่มีใครสามารถมองเห็นผมได้ แต่หลังจาก 15 ปีที่ผมอยู่เพียงลำพังบนเกาะแห่งนี้ ผมรู้สึกกลัวและไม่กล้าออกจากถ้ำของผมเป็นเวลา 3 วัน
                ในที่สุด ผมจะต้องออกไปเพื่อนมแพะของผม เป็นเวลา 2 ปีที่ผมรู้สึกกลัว ผมอาศัยอยู่ใกล้ๆกับบ้านของผมและผมไม่เคยใช้ปืนเลย เพราะว่าผมไม่ต้องการให้เกิดเสียงดัง ผมไม่สามารถลืมรอยเท้านั้นได้ แต่ผมไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรมากกว่านั้นเลย และผมก็ค่อยๆรู้สึกดีขึ้น
                หนึ่งปีต่อมา ผมไปอยู่ด้านฝั่งตะวันตกของเกาะ จากที่นั่นผมสามารถมองเห็นเกาะอื่นๆได้ และผมสามารถมองเห็นเรือ ซึ่งอยู่ไกลไปในทะเลด้วยเช่นกัน ถ้าผมมีเรือ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องง่ายที่จะแล่นเรือข้ามไปยังเกาะแห่งนี้ บางทีสิ่งนั้นอาจจะอธิบายรอยเท้านั้นได้ เพราะอาจเป็นผู้มาเยือนจากหนึ่งในเกาะอื่นๆ
                ผมเริ่มเดินไปรอบๆ ของเกาะแห่งนี้ได้อย่างอิสระ มากขึ้นอีกครั้ง และสร้างบ้านหลังที่สามด้วยตัวผมเอง ซึ่งเป็นสถานที่ในถ้ำที่ลึกลับมาก คนป่าไม่สามารถหาเจอได้ผมพูดกับตัวผมเอง
                จากนั้นหนึ่งปี บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านั้น ผมไม่เคยลืม ผมไปยังด้านทิศตะวันตกของเกาะอีกครั้งและเดินไปตามชายฝั่ง ทันใดนั้นผมเห็นบางสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย มีศีรษะ, แขน, เท้า และชิ้นส่วนอื่นๆของร่างกายมนุษย์ในทุกๆที่ ในหนึ่งนาที ผมไม่สามารถคิดอะไรได้เลยและผมก็รู้สึกไม่เข้าใจ บางครั้งอาจมีการต่อสู้กันระหว่างคนป่าบนเกาะอื่นๆ จากนั้นพวกเขาก็กลับมาที่เกาะของผมพร้อมกับนักโทษของเขา เพื่อฆ่าพวกเขา ทำพวกเขาเป็นอาหารและกินพวกเขา ผมกลับบ้านอย่างช้าๆ แต่ผมรู้สึกโกรธมาก ทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนี้
                หลายเดือนต่อมา  ผมเฝ้าดูควันที่เกิดจากเชื้อเพลิงเผาไหม้อย่างระมัดระวัง แต่ผมก็ไม่เห็นสิ่งใดๆเลย  คนป่าเหล่านั้นมาและไปด้วยวิธีใดกันนะ ผมไม่เคยเห็นพวกเขาเลย ผมรู้สึกโกรธและกลัว ผมต้องการที่จะยิงพวกเขาทั้งหมด แต่ที่นั่นมีพวกเขาอยู่จำนวนมาก ส่วนผมอยู่แค่คนเดียว บางทีผมสามารถยิงพวกเขาได้ สองหรือสามคน ผมพูดกับตัวผมเอง แต่หลังจากนั้นพวกเขาคงจะฆ่าและกินผมแน่
                จากนั้น เช้าวันหนึ่งในช่วง 23 ปีบนเกาะ ผมออกไปในทุ่งนาและเห็นควันจากไฟ ผมวิ่งไปบนเขาเพื่อดูอย่างรวดเร็ว
                มีผู้ชายจำนวน 9 คน รอบๆกองไฟ และพวกเขากำลังทำอาหาร อาหารของพวกเขาดูน่ากลัว จากนั้น คนป่าเหล่านั้นก็เต้นไปรอบๆกองไฟ ร้องเพลงและตะโกน พวกเขาทำเช่นนี้เป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้เข้าไปในเรือและแล่นเรือออกไป ผมลงไปที่ชายหาดและเห็นเลือดของมนุษย์ที่ตายแล้วบนทราย คราวหน้าถ้าพวกเขามาอีก ผมจะต้องฆ่าพวกเขาให้ได้ผมพูดด้วยความโกรธ

ผู้ช่วยเหลือที่ซื่อสัตย์ (Man Friday)
                เป็นเวลา 2 ปีที่ผมไม่เคยออกไปไหนโดยไม่มีปืน ผมรู้สึกโดดเดี่ยวและกลัว จนนอนไม่หลับเป็นเวลาหลายคืน คืนหนึ่งมีพายุที่โหดร้ายมาก และผมคิดว่าผมได้ยินเสียงปืนดังออกไปที่ทะเล เช้าวันต่อมาผมมองออกไปที่ทะเล ผมเห็นเรือ มันเป็นเหมือนเรื่องโกหก และมันอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่ง ผมวางเรือลำเล็กลำนั้นในน้ำและปล่อยมันออกไปอย่างรวดเร็ว
                มีศพของผู้ชายสองคนอยู่บนเรือ แต่ไม่มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่ ศพของลูกเรือคนอื่นๆ ได้หายไปในทะเล ผมหยิบเสื้อผ้าและเครื่องมือ รวมทั้งกล่องทองสเปนและเงินอยู่ด้วย ตอนนี้ผมจะรวยแล้ว แต่ผมจะใช้เงินทำอะไร ผมไม่สามารถใช้เงินซื้ออะไรได้เลย
                ผมต้องการเพื่อน หรือใครบางคนที่จะพูดคุยกัน ใครสักคนที่จะช่วยผมหนีไปจากเกาะของผม เช้าวันหนึ่งผมตื่นขึ้นและวางแผนว่า ผมจะพยายามจับหนึ่งในนักโทษของคนป่าเหล่านั้นผมพูดกับตัวเอง เขาจะมีชีวิตที่มีความสุขและบางทีเขาอาจจะช่วยผมหนีได้ผมเฝ้าดูทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เป็นระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งที่ที่นั่นไม่มีเรือมาอีกเลย
                จากนั้นวันหนึ่งมีเรือมาที่นี่จำนวน 5 ลำ มีผู้ชายประมาณ 30 คน และนักโทษอีก 2 คน พวกเขาก่อเพลิงบนพื้นทรายและเต้นรำไปรอบๆมันจากนั้นพวกเขาก็ได้ฆ่านักโทษหนึ่งคนและเริ่มทำเป็นอาหารมื้อที่น่ากลัวของพวกเขา นักโทษคนที่สองรออยู่ใต้ต้นไม้กับผู้ชายสองคนที่คอยเฝ้าดูเขา ทันใดนั้นนักโทษหันกลับไปและวิ่ง ผู้ชายสองคนนั้นวิ่งตามเขาไป แต่คนป่าคนอื่นๆกำลังยุ่งอยู่รอบๆกองไฟ และไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
                นักโทษวิ่งเสมือนแพะป่า และในไม่ช้าผมเห็นว่า เขากำลังเข้ามาใกล้กับด้านล่างของเนินเขาของผม ผมวิ่งลงไปที่เนินเขาและกระโดดออกจากต้นไม้เร็วที่สุดเท่าที่ผมสามารถทำได้ไประหว่างนักโทษกับคนป่าทั้งสองคน ผมตีคนป่าคนแรกด้วยด้ามปืน และเขาก็ล้มลง แต่ผมจำเป็นต้องยิงคนที่สอง นักโทษผู้น่าสงสารเขาไม่เคลื่อนไหว เพราะเขากลัวเสียงปืนของผม
                ผมเรียกเขาและพยายามที่จะแสดงให้เขาเห็นว่าผมเป็นมิตร  เขาเข้ามาใกล้ผมอย่างช้าๆ แต่แล้วคนป่าคนแรกก็เริ่มลุกขึ้นจากพื้นดิน จากนั้นนักโทษก็พูดขึ้นและผมก็เข้าใจว่า เขาต้องการดาบ ผมรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ผมให้ดาบกับเขาและเขาได้ตัดศีรษะของศัตรูของเขาในทันที
                พวกเรารีบซ่อนศพของเขาไว้ใต้ใบไม้และออกมาอย่างรวดเร็ว ผมนำนักโทษของผมมายังถ้ำลึกลับของผมในอีกฝั่งของเกาะและนำอาหารและเครื่องดื่มให้เขา หลังจากนั้นเขาก็ได้หลับไป
                เขาเป็นคนหนุ่มที่ดูดี เขาอายุประมาณ 25 ปี เขาสูงและดูแข็งแรง ใบหน้าและรอยยิ้มของเขาดูดี เขามีผิวสีน้ำตาล ผมสีดำ ดวงตาสดใสและฟันที่ขาวและแข็งแรง ผมตั้งชื่อให้เขาว่า “Man Friday” เพราะผมเห็นเขาครั้งแรกในวันศุกร์
                เมื่อเขาตื่นในตอนเช้า เขาวิ่งออกมาที่ผม ซึ่งผมกำลังรีดนมแพะของผมในทุ่งนา และเขาได้ล้มลงบนพื้นดินและวางศีรษะของเขาใกล้กับเท้าของผม ผมเข้าใจว่าเขาคิดอะไรกับผมและผมพยายามที่จะแสดงว่าผมเป็นเพื่อนของเขา
                ผมเริ่มที่จะสอนให้เขาพูดภาษาอังกฤษ และในไม่ช้า เขาก็สามารถเรียกชื่อผมได้ว่า เจ้านายและ ใช่ กับ ไม่ใช่ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีถ้าหากผมได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง
                ต่อมาในวันที่พวกเราเดินทางกลับไปยังบ้านหลังแรกของผม พวกเราเดินไปตามชายหาดอย่างระมัดระวัง แต่ไม่มีเรือและคนป่าใดๆเลย  มีเพียงแค่เลือดและกระดูกจำนวนมากบนพื้นทราย ผมรู้สึกไม่ดีเลยแต่ Friday ต้องการที่จะกินชิ้นส่วนของศพผู้ชายที่ยังคงอยู่บนพื้นดิน ผมแสดงให้เขารู้ว่า สิ่งนี้มันดูเลวร้ายมากสำหรับผม และเขาก็เข้าใจผม
                เมื่อพวกเรามาถึงบ้านของผม ผมให้กางเกงขายาว, เสื้อโค้ท และหมวกแก่ Man Friday เขาชอบเสื้อผ้าใหม่ๆมาก จากนั้นผมได้สร้างที่พักเล็กๆให้เขาสำหรับไว้นอน แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ผมนำปืนของผมมานอนกับผมด้วยเสมอ บางที Friday ยังคงเป็นคนป่าและพยายามที่จะฆ่าผมในคืนนั้น หลังจากที่ Friday รู้สึกกลัวปืนของผมเป็นอย่างมาก บางครั้งเขาก็พูดกับปืนของผมและบอกมันว่าอย่าฆ่าของเขา
                Friday เป็นคนที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งนับวันภาษาอังกฤษของเขาก็ยิ่งดีขึ้น เขาช่วยผมกับแพะของผม และงานในทุ่งนา ในไม่ช้าเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมสนุกกับการสอนเขา และสิ่งสำคัญที่สุด คือ มีเพื่อนไว้พูดคุย นี่เป็นเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดในทุกๆปีบนเกาะแห่งนี้
                Friday และผมอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเป็นเวลา 3 ปี ผมบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องการผจญภัยของผม และเกี่ยวกับชีวิตในอังกฤษ แล้วเขาก็บอกผมเกี่ยวกับเมืองของเขาและผู้คนของประเทศเขา วันหนึ่งพวกเราอยู่ด้านบนของเนินเขาที่สูงที่สุดบนเกาะ และพวกเราก็มองออกไปที่ทะเล มันเป็นวันที่ดูสงบมาก และพวกเราก็สามารถมองได้ในเส้นทางยาว ทันใดนั้น Friday ก็เริ่มกระโดดขึ้นและลง เขารู้สึกตื่นเต้นมาก
                เกิดอะไรขึ้นผมพูด
                ดูซิ เจ้านายดู” Friday ตะโกนขึ้น ผมสามารถเห็นเมืองของผมได้ คุณมองไปที่นั่นสิ
                ผมมองไปและที่นั่นอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระหว่างทะเลและท้องฟ้า เป็นพื้นที่ที่เป็นทางแคบและยาว ผมได้รู้ในภายหลังว่ามันคือเกาะตรินิแดด และเกาะของผมก็อยู่ที่ปากแม่น้ำโอรีโนโก บนชายฝั่งทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้
                ผมเริ่มคิดเกี่ยวกับการหลบหนีอีกครั้ง บางที Friday ก็ต้องการที่จะกลับบ้านด้วยเหมือนกัน บางทีพวกเราสามารถไปยังประเทศของ Friday ได้ด้วยกัน แต่อะไรจะเกิดขึ้น เขาจะยังคงเป็นเพื่อนของผมหรือคนของเขาจะฆ่าผมและกินผมหรือเปล่า
                ผมพา Friday ไปยังอีกฝั่งของเกาะและให้เขาดูเรือแคนูลำใหญ่ของผม มันยังคงวางอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนนี้มันดูเก่ามากแล้วและมีรูในไม้จำนวนมาก
                “เรือสามารถแล่นไปยังประเทศของคุณได้หรือไม่ Friday” ผมถามเขา
                โอ้ ได้สิเขาตอบ เรือลำนี้สามารถลำเลียงอาหารและเครื่องดื่มได้จำนวนมาก
                “ดังนั้นพวกเราจะต้องสร้างเรือแคนูเพิ่มอีกให้เหมือนลำเก่า และคุณสามารถกลับบ้านโดยมันได้ผมพูด
                แต่ Friday ดูเหมือนไม่มีความสุขเลย ทำไม คุณโกรธผมเหรอเขาถาม ผมทำอะไรลงไปทำไมคุณถึงต้องการส่งผมกลับบ้าน
                แต่ผมคิดว่าคุณต้องการที่จะกลับบ้านผมพูด
                ใช่ แต่คุณจะต้องกลับไปกับผมด้วย ฆ่าผมถ้าคุณต้องการ แต่อย่าส่งผมให้ออกไปจากคุณเลย
                จากนั้น ผมเห็นว่า Friday เป็นเพื่อนที่แท้จริง ดังนั้นผมจึงตกลงที่จะไปกับเขา พวกเราเริ่มทำเรือแคนูในทันที Friday เลือกต้นไม้ด้วยตัวเขาเอง เขาเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อไม้ได้ดีกว่าผม และพวกเราก็โค่นมันลง พวกเราทำงานอย่างหนักและในเวลา 1 เดือน เรือของพวกเราก็เสร็จ สองสัปดาห์ต่อมาพวกเรานำเรือแคนูลงไปในทะเล และพวกเราก็เริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางที่ยาวนานของพวกเรา


Robinson Crusoe
(Fourth)
การหนีออกจากเกาะ
          ตอนนี้ผมอยู่บนเกาะแห่งนี้เป็นเวลา 27 ปี และผมไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นั่นอีก พวกเราทำงานหนักในการเก็บเมล็ดธัญพืช สำหรับการทำขนมปังจำนวนมาก พวกเรามีผลไม้แห้งและเนื้อสัตว์เค็ม และหม้อใบใหญ่จำนวนหลายใบสำหรับเก็บน้ำ เย็นวันหนึ่ง Friday ออกไปมองหาเต่าเพื่อเอาเนื้อและไข่ของมัน แต่ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาและดูเขากลัวมาก
                เจ้านายๆเขาตะโกนขึ้น มีเรือลำใหญ่อยู่ใกล้ๆกับเกาะ และมีพวกผู้ชายอยู่ในเรือซึ่งกำลังมาที่ชายฝั่ง
                ผมกระโดดขึ้นและวิ่งลงไปที่ชายฝั่งกับเขาซึ่งเป็นความประหลาดใจที่ยิ่งใหญ่มากของผม ผมเห็นว่ามันเป็นเรือของอังกฤษ แต่ทำไมมันถึงมาที่นี่ เรือของอังกฤษไม่เคยมาทางนี้เลย หรือบางทีพวกเขาเป็นโจรสลัด อย่าปล่อยให้พวกเขาเห็นคุณนะ Friday” ผมร้องเรียก พวกเราจะซ่อนตัวและดูอยู่ที่ต้นไม้
                ในเรือมีผู้ชายจำนวน 11 คน แต่เป็นโทษ 3 คน แขนของพวกเขาถูกมัดด้วยเชือกแต่ขาของพวกเขาไม่ถูกมัด พวกเขาสามารถเดินได้ ลูกเรือคนอื่นๆพลักนักโทษ 3 คนนั้นขึ้นบนชายหาด พวกเขาหัวเราะ พวกเขาร้องตะโกน และตีนักโทษ จากนั้นพวกเขาส่วนหนึ่งได้นั่งลงบนพื้นทรายและเริ่มดื่ม และคนอื่นๆที่เหลือได้เดินออกไปตรวจดูเกาะ ผู้ชายอีกสองคนอยู่เฝ้าดูเรือ นักโทษทั้ง 3 คนเดินไปตามชายหาดอย่างช้าๆ และนั่งลงใต้ต้นไม้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเรา พวกเขาดูไม่มีความสุขเลย
                ผมเข้ามาอยู่หลังต้นไม้ ซึ่งอยู่ด้านหลังของพวกเขาอย่างเงียบๆ และร้องเรียกพวกเขาด้วยภาษาอังกฤษ
                อย่ากลัวนะผมพูด ผมเป็นชายชาวอังกฤษ บางทีผมสามารถช่วยคุณได้
                ผู้ชายทั้ง 3 คนหันกลับมาและมองที่ผม พวกเขาไม่ตอบอะไรเลย พวกเขาดูแปลกใจอย่างมาก บางทีพวกเขาคงคิดว่าผมเป็นคนป่า จากเสื้อผ้าที่ผมทำเองด้วยหนังสัตว์ รวมทั้งผมและเคราที่ยาว ซึ่งมันดูแปลก จากนั้นผู้ชายที่อาวุโสที่สุดก็พูดขึ้น
                ผมเป็นกัปตันเรือเขาพูด และผู้ชายอีกสองคนเป็นเจ้าหน้าที่ลำดับที่หนึ่งและสองของผม คืนที่ผ่านมามีการกบฏ พลทหารเรือได้ขโมยเรือไปและตอนนี้พวกเขากำลังทิ้งพวกเราทั้ง 3 คนไว้ที่นี่ พวกเราต้องตายบนเกาะแห่งนี้แน่
                “ผู้ก่อการกบฏเหล่านั้นมีปืนหรือไม่
                “มีเพียงแค่สองกระบอกเขาตอบ และพวกเขาได้ทิ้งปืนทั้งหมดไว้ในเรือ
                “เอาล่ะผมพูด พวกเราจะต่อสู้กับพวกเขา แต่ถ้าพวกเรานำเรือของคุณกลับมาให้คุณได้ คุณจะต้องพาผมกลับอังกฤษด้วย
                กัปตันตกลงทันที และขอบคุณผมอย่างเป็นมิตรที่ผมช่วยเขา Friday ได้วิ่งกลับไปที่บ้านของผมเพื่อเอาปืนทั้งหมด ส่วนกัปตันและผมก็วางแผนกัน
                ส่วนแรกเป็นเรื่องที่ง่ายเพราะพลทหารเรือยังไม่พร้อมสำหรับการต่อสู้ พวกเราจะยิงผู้ชายสองคนบนเรือ และกัปตันจะยิงผู้ชายคนที่เหลือ ผู้ชายคนนี้ ชื่อ ทอม สมิธ ซึ่งเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดและเป็นคนที่เริ่มก่อการกบฏบนเรือ จากนั้นกัปตันก็พูดถึงผู้ชายคนอื่นอีก 5 คนและผมก็ตกลงที่จะช่วยเขา เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะก่อการจลาจล แต่พวกเขารู้สึกเกลียด ทอม สมิธ
                ตอนนี้เลยผมบอกกัปตัน พวกเราจะต้องกลับไปที่เรือของคุณ แล้วมีผู้ชายอยู่บนเรือจำนวนกี่คน
                มี 26 คนกัปตันตอบ พวกเขาจะต้องต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้ เพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะกลับบ้าน ซึ่งนั่นเป็นการตายของผู้ก่อการกบฏทั้งหมดในอังกฤษ แต่พวกเขาคงไม่ใช่คนเลวทั้งหมด ผมมั่นใจว่าพวกเขาบางคนจะช่วยผม
                จากนั้น พวกเราก็เห็นเรือลำอื่นอีก ที่กำลังมายังชายฝั่ง ซึ่งมีผู้ชายจำนวน 10 คนอยู่ในเรือ และทุกคนก็มีปืน พวกเราจึงวิ่งเข้าไปที่ต้นไม้และรอดู
                มันเป็นการต่อสู้ที่หนักและยาวนาน แต่ตอนนี้มันเริ่มมืดและสิ่งนี้จะช่วยพวกเราได้เป็นอย่างมาก พวกเราวิ่งไปวิ่งมาตามต้นไม้ พวกเราได้ร้องเรียกและร้องตะโกน พลทหารเรือไม่สามารถเห็นพวกเราได้และไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้มีจำนวนกี่คน ในช่วงสุดท้าย เจ้าหน้าที่คนแรกได้ยิงพวกเขา
                วางปืนของคุณลงและอย่าขยับกัปตันมีคนเกาะจำนวน 50 คนมาช่วยเขา พวกเราจะสามารถฆ่าพวกเขาได้ทั้งหมด
                ดังนั้น พลทหารเรือทั้งหมด จึงหยุดต่อสู้และพวกเราได้เก็บปืนของพวกเขา ผู้ชายจำนวน 3 คน         ตกลงที่จะกลับมาฝั่งกัปตัน และพวกเราก็ได้นำคนอื่นๆไปไว้ในถ้ำของผม Friday และผมอยู่เพื่อเฝ้าดูนักโทษ ในขณะที่กัปตันและคนของเขากลับไปต่อสู้เพื่อเรือของเขา
                พวกเราได้ยินเสียงปืนและเสียงร้องตะโกนตลอดทั้งคืน แต่ในตอนเช้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น กัปตันผู้ที่เป็นผู้นำเรือได้กลับมาอีกครั้ง ผมลงไปที่ชายฝั่งเพื่อพบกับเขา
                เพื่อนรักของฉันเขาตะโกนขึ้น นี่เรือของคุณ ฉันจะนำคุณไปยังจุดสิ้นสุดของโลกเลย
                ผมวางแขนของผมรอบๆเขา พวกเราหัวเราะ คุยกันเสียงดัง ผมจะมีความสุขถ้าผมได้ออกไปจากเกาะแห่งนี้
                เพื่อนที่ดีของผม คือ Friday เขาก็มากับผมแน่นอน แต่พวกเราได้ทิ้งผู้ก่อการกบฏทั้งหมดไว้บนเกาะแห่งนี้ พวกเราตัดสินใจที่จะไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่บนเกาะแห่งนี้ได้ ผมให้พวกเขาดูบ้านของผมทั้ง 3 หลัง ทุ่งนาของผมและแพะของผม รวมทั้งเครื่องมือของผมทั้งหมดด้วย การดำเนินชีวิตของพวกเขาจะเป็นเรื่องง่ายเพราะผมได้ทำงานหนักกับสิ่งต่างๆมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
                และในวันที่ 19 เดือน ธันวาคม ปี 1686 หลังจากนั้นมา 27 ปี 2 เดือน และ 19 วัน ผมบอกลาเกาะของผมและออกเดินเรือกลับบ้านที่อังกฤษ
บ้านในอังกฤษ
          เมื่อผมกลับมาถึงอังกฤษ ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าในเมือง หลายๆสิ่งผิดแปลกไป และมีผู้คนจำนวนมากที่จำผมไม่ได้ ผมจึงกลับไปบ้านที่นิวยอร์ก แต่พ่อกับแม่ของผมได้เสียชีวิตแล้ว น้องชายทั้งสองคนของผมก็เสียชีวิตแล้วเช่นกัน ผมจะตามหาบุตรชายทั้งสองคนของหนึ่งในน้องชายของผม พวกเขาคงดีใจที่ได้รู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่ และผมพอใจที่จะพบกับครอบครัวใหม่
                หลังจากนั้นหลายเดือน ผมตัดสินใจที่จะลงไปยังลิสบอนในโปรตุเกส ผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่น เขาสามารถช่วยผมขายที่ดินของผมในบลาซิลได้ เพราะผมต้องการเงิน Friday กลับมากับผมด้วย เขาเป็นเพื่อนที่ดีและเป็นเพื่อนแท้สำหรับผมตลอดไป
                ผมพบกัปตันชาวโปรตุเกสในลิสบอน ผู้ที่พาผมมากับเรือของเขาเพื่อไปยังบลาซิลในหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นสิ่งที่ดีที่ผมได้พบกับเขาอีกครั้ง และเขาได้ช่วยเหลือผม รวมทั้งธุรกิจของผมด้วย ในไม่ช้า ผมก็พร้อมที่จะกลับไปบ้านอีกครั้งโดยทางบก ซึ่งคงจะไม่มีการผจญภัยและอันตรายมากเหมือนกับทางทะเลสำหรับผม
                มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานและยากลำบาก พวกเราจะต้องข้ามภูเขาระหว่างประเทศสเปนและประเทศฝรั่งเศสในช่วงฤดูหนาว และมีหิมะจำนวนมาก Friday ผู้น่าสงสาร เขาเกลียดหิมะเป็นอย่างมาก เนื่องจากเมืองของเขาคงจะร้อนตลอดเวลา และเขาคงจะไม่ชอบอากาศหนาว
                เมื่อกลับมาในอังกฤษ ผมพบบ้านหนึ่งหลังและเริ่มอยู่ที่นั่นเพื่อใช้ชีวิตที่เงียบสงบ หลานของผมทั้งสองคนได้มาอยู่กับผมด้วย หลานคนสุดท้องต้องการจะเป็นทหารเรือ ดังนั้น ผมจะพบเขาได้ที่บนเรือ หลังจากที่ผมแต่งงาน ผมมีลูกทั้งหมด 3 คน ลูกชาย 2 คน และลูกสาว 1 คน หลังจากนั้นภรรยาของผมก็ได้เสียชีวิตลง และหลานของผม ผู้ซึ่งเป็นกัปตันเรืออยู่ในขณะนี้ เขากลับบ้านมาหาผม เขารู้ว่าผมไม่ชอบชีวิตที่เงียบสงบ
                ผมมีเรือที่หรูหรานะลุงเขาพูด ผมจะออกไปยังหมู่เกาะอินเดียตะวันออก ประเทศอินเดีย, ประเทศมาเลเซีย, ประเทศฟิลิปปินส์และที่อื่นๆ แล้วทำไมลุงถึงไม่มากับผมด้วยล่ะ
                และในปี 1694 ผมกลับไปยังทะเลอีกครั้งหนึ่ง และมีเหตุการณ์ให้น่าตื่นเต้นต่างๆมากมายขึ้น บางทีวันหนึ่งผมอาจจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อีกสักเล่ม
               


1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากนะครับ ขออนุญาติแบ่งปันบทความดีๆนะครับ

    ตอบลบ