Learning
log
Third
: (18th August, 2015)
การศึกษาภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในปัจจุบัน
เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของสากลที่ทุกคนส่วนใหญ่ใช้ร่วมกัน
สื่อสารกันเข้าใจที่สุด การศึกษาภาษาอังกฤษให้เชี่ยวชาญและประสบผลสำเร็จนั้น
ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ทั้งทางด้าน เนื้อหา คือในส่วนของคำศัพท์ต่างๆ และ หลักไวยากรณ์
ต่างๆ รวมทั้งจะต้องฝึกฝนเกี่ยวกับ ทักษะ ซึ่งมีความสำคัญมากเช่นกัน คือ ทักษะการฟัง, ทักษะการพูด, ทักษะการอ่านและทักษะการเขียน
ทักษะเหล่านี้ผู้เรียนจะต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและมีความต่อเนื่อง เพราะเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนด้วยตนเองจึงจะเกิดผลดีมากที่สุด
ซึ่งสำหรับคนไทยแล้วจะคิดว่า การศึกษาในด้านของไวยากรณ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษก็เป็นได้
เพราะถ้าหากผู้เรียนรู้หลักไวยากรณ์อย่างครอบคลุมและแม่นยำแล้ว ผู้เรียนก็สามารถเขียนรูปประโยค
หรือข้อความต่างๆ รวมทั้งแปลความหมายของข้อความเหล่านั้นเป็นภาษาต่างๆที่เราต้องการได้อย่างถูกต้องและสละสลวย
ยิ่งไปกว่านั้นการรู้คำศัพท์และหลักไวยากรณ์มาก จะทำให้ทักษะการฟัง การพูด
การอ่าน และการเขียนของผู้เรียนดีและคล่องแคล่วขึ้น จึงส่งผลให้ผู้เรียนมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
และกล้าที่จะใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้นด้วย
ในการเรียนภาษาอังกฤษ
ถ้าหากผู้เรียนต้องการสร้างงานเขียนที่ดีและสละสลวย ผู้เรียนจะต้องเชี่ยวชาญ
และแม่นยำในเรื่องของ Tense ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถสร้างงานเขียนที่ดี
รวมทั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการแปลความหมายของประโยคและข้อความต่างๆ ด้วย
ดังนั้นการที่จะเรียนรู้เรื้อง Tense ก็จะต้องรู้ความหมายของ
Tense ก่อน
Tense คือ
รูปของกริยาต่างๆ ที่แสดงอาการหรือการกระทำของกริยาในแต่ละประโยค
ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นทั้งปัจจุบัน (present),
อดีต (past) และอนาคต (future) เพื่อบอกให้ทราบว่าประโยคหรือสิ่งที่พูดนั้น เกิดขึ้นเวลาไหน
โครงสร้างของ
Tense
12 Tense
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Present Simple Tense (ปัจจุบันกาล) คือ tense
ที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แต่ไม่ได้ระบุว่าการกระทำนั้นๆ สมบูรณ์แล้วหรือยัง โดยมีโครงสร้าง ดังนี้
Structure
: Subject
(ประธาน) + Verb 1 (กริยาช่องที่ 1)
Subject คือ
ประธานของประโยค โดยประธานอาจจะแตกต่างกันออกไป เช่น เป็น คำนาม (noun) เป็นคำสรรพนาม (pronoun) หรือประธานชนิดอื่นๆ
โดยประธานจะมี 2 ชนิด คือประธานเอกพจน์และประธานพหูพจน์ และ verb
mใช้จะเป็น verb 1 **ถ้าประธานเป็นเอกพจน์
กริยาช่องที่ 1 จะต้องเติม s หรือ es
ตามหลักการ ดังนี้
หลักการเติม
–s
, และ -es
(เติมเฉพาะกริยาของประธานเอกพจน์
present
simple tense)
1). คำกริยาปกติอื่นๆ
เติม s ได้ทันที เช่น
- He wants
to go to the beach.
- The dog eats bone.
2).เติม es
ที่คำกริยาที่ลงท้ายด้วย s,ss,ch,x หรือ o
เช่น
- Dang goes to
the post office.
- He catches the train to Ayuttaya.
- The
bus no.13 passes Lumpini Park.
3). คำกริยาที่ลงท้ายด้วย
y เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
- She studies in the United States of
America.
- The baby cries
at midnight.
***ยกเว้น
คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y ซึ่งหน้า y มีสระ
(a,e,i,o,u) ให้เติม s ได้เลย เช่น
- The
boy plays the guitar well.
- My mother buys
many things in that store.
4). กริยาที่ลงท้ายด้วย –o
และหน้า –o เป็นพยัญชนะให้เติม –es เช่น
- She goes to
visit her friend in the hospital everyday.
***ยกเว้นถ้าหน้า –o เป็นสระ (a,e,i,o,u) ให้เติม –s ที่ท้ายกริยา เช่น
- He
always woos the daughter of the king.
หลักการใช้ Present
Simple Tense
1).
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลอดไป
หรือเป็นความจริงตามธรรมชาติ (General Truth หรือ Eternal
Truth) เช่น
- The sun rises in the east.
- It's cold in winter.
- The sun rises in the east.
- It's cold in winter.
- Fish swim in the
water.
2).
ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นประเพณี นิสัย สุภาษิต
ซึ่งไม่ได้เจาะจงว่าเวลาใด เช่น
- Men wear thin clothes in summer.
-
Women are dressed all in black when going to the
funeral.
3).
ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงในขณะพูด เช่น
- He stands under the
tree.
- Susan is my close friend.
4). ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต
ซึ่งได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติเช่นนั้น
(นิยมใช้กับกริยาที่แสดงการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง)
โดยใส่คำวิเศษณ์ที่บอกเวลาเป็นอนาคตด้วยก็ได้ เช่น
-
I have by the 6.20
train this evening.
-
We attack the enemies at dawn.
5). ใช้กับเหตุการณ์ในประโยค subordinate
clause ที่ขึ้นต้นด้วย If, When, whenever, unless, until,
till , as soon as, while, before, after, as long as ซึ่งบ่งบอกเวลาเป็นอนาคต
เช่น
- If the
weather is fine tomorrow, we shall have picnics.
- Unless he
sends the money before Friday, I shall consult
my lawyer.
6).
ใช้กับเหตุการณ์ในกรณีสรุปเรื่องที่เล่ามา แม้เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นแล้วในอดีต
เพื่อให้เรื่องมีชีวิตชีวา เหมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน
นิยมใช้ในการเขียนนิยาย บทละคร เช่น
- Bassanio wants
to go to Belmont to woo Portia. He asks Antonio to lend him money. Antonio says that he hasn’t any
at the moment until his ships come to port.
7). การกระทำของกริยาที่ไม่สามารถแสดงอาการให้เห็นได้
เช่น การนึกคิด การรับรู้ ภาวะจิตใจ ความเป็นเจ้าของ เช่น
- She loves
her husband very much.
- He knows
about how to open the can.
8). ใช้กับเหตุการณ์ที่บุคคลหรือสัตว์ทำเป็นประจำ
Repeated Action หรือเป็นนิสัยเคยชิน Habitual Action
and States การใช้ในกรณีเช่นนี้ มักจะมีคำหรือกลุ่มคำหรืออนุประโยค
ซึ่งมีความหมายว่า บ่อยๆ, เสมอๆ, ทุกๆ...รวมอยู่ด้วย
คำ
(word) เช่น always, often, sometimes, frequently, usually, etc.
กลุ่มคำ (phrase) เช่น every day, every week, once a week, etc.
ประโยค
(clause) เช่น - whenever he sees me
- every time he comes here. etc.
เช่น - He says hello to me whenever he
see me.
- She usually relaxes
after game.
Present Continuous
Tense
เป็น tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรือกำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด
โดนมีโครงสร้างประโยค ดังนี้
Structure : Subject + is, am, are + Verb 1 เติม ing
การเติม
–
ing ที่ท้ายกริยามีหลักเกณฑ์ ดังนี้
1)
กริยาที่ลงท้ายด้วย e กรณีไม่ออกเสียงตัว
e ให้ตัด e ทิ้งเสียก่อน แล้วจึงเติม –
ing
เช่น write - writing move -
moving
2)
กริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y ก่อน
แล้วจึงเติม –ing
เช่น die - dying lie -
lying
3)
กริยาที่ลงท้ายด้วย ee ให้เติม –ing ได้เลย
เช่น see - seeing agree -
agreeing
4)
กริยาที่มีสระตัวเดียว
ตัวสะกดตัวเดียว และเป็นพยางค์เดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม –ing
เช่น stop - stopping run -
running
sit - sitting get -
getting
5)
คำที่มี 2 พยางค์ ซึ่งออกเสียงหนัก stress ที่พยางค์หลัง
และพยางค์หลังมีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีก 1 ตัว ก่อนแล้วจึงเติม –
ing
เช่น begin - beginning occur -
occurring
refer - referring offer -
offering
6)
คำกริยา 2 พยางค์ ต่อไปนี้ จะเพิ่มตัวสะกดเข้ามาแล้วจึงเติม – ing หรือจะเติมเลย
เช่น อังกฤษ
:
travel - travelling quarrel - quarreling
อเมริกัน : travel - traveling quarrel -
quarreling
หลักการใช้ Present
Continuous Tense
1)
ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูดและมักจะมีคำวิเศษณ์
(Adverb) now, at the present, at this
moment, at the present time, these days มาร่วมเสมอ
เช่น - He is coming
to the office now.
-
I am working
with this company these days.
2)
ใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นในระยะยาว
ซึ่งในขณะที่พูดประโยคนี้ออกไปนั้น ไม่จำเป็นต้องกระทำสิ่งนั้นอยู่ก็ได้
แต่ในช่วงเวลาอันยาวจะทำสิ่งนั้นอยู่จริงๆ และมักมีคำบอกเวลาระยะยาวมากำกับไว้
ได้แก่ this
week, this month, this year, etc.
เช่น - My son is working
hard this term.
-
He is working
with the Siam Motors Co.,Ltd. This year.
3)
ใช้ กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ซึ่งคาดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ มักใช้กับกริยาที่แสดงการเคลื่อนที่, เคลื่อนไหว และจะมีคำบอกเวลาเป็นอนาคตมาก่อนเสมอ
เช่น - Somdet is leaving
for London next Sunday.
-
I am going to
Singapore on Friday.
4)
ถ้าประโยค Present
Continuous Tense เชื่อมด้วย **and (กรณีเป็น 2 ประโยค) **ให้ตัดกริยา Verb to be ที่อยู่หลัง and ออก
เช่น - The
old man is smoking a cigarette and reading the newspaper.
กริยาที่นำมาแต่งเป็น Continuous
Tense ไม่ได้ คือ
1)
กริยาที่แสดงการรับรู้ (Verb
of Perception) จะไม่นิยมนำมาแต่งใน Present Continuous
Tense ได้แก่
-
see
hear feel taste smell etc.
2)
กริยาที่แสดงภาวะของจิต (State
of Mind) แสดงความรู้สึก (felling), แสดงความผูกพัน (Relationship)
-
know love understand hate
believe seem like etc.
Present Perfect Tense
Structure :
Subject + have,has
+ กริยาช่องที่ 3
ที่มาของกริยาช่องที่
3
1)
มีรูปโดยการเติม –ed
ที่ท้ายกริยา เช่น
ช่องที่ 1 ช่องที่ 2 ช่องที่ 3
open opened opened
walk walked walked
2)
มีรูปมาโดยการผันรูป เช่น
ช่องที่ 1
ช่องที่ 2 ช่องที่ 3
is,
am, are
was, were been
see saw seen
go went gone
think thought thought etc.
หลักการใช้ Present Perfect Tense มีดังนี้
1)
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และเหตุการณ์นั้นยังคงต่อเนื่องมาถึงเวลาปัจจุบัน ซึ่งมักจะมี Adverb
เหล่านี้ คือ since, for, so far, up to now มาร่วมแสดงเวลาเสมอ
เช่น -
Bill has lived in New York since 1975.
- I have studied
English for more than three years.
2)
ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้ทำซ้ำๆ
เป็นหลายครั้งหลายหนในอดีต และเหตุการณ์ที่ว่านี้อาจจะทำอีกต่อไปในอนาคต
แต่ไม่บอกว่า ทำเมื่อไร เป็นเวลาเท่าไหร่ มักจะมีคำ Adverb เช่น many time, several
time, over and over มากำกับเสมอ เช่น
- We have eaten
in that restaurant many times.
- I have used
this razor blade only three times; it is still
good.
3)
ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต
ซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้ และมักมีคำ Adverb คือ ever, never, once. twice มาใช้ร่วมเสมอ เช่น
- I have never seen
him before.
- Have you
ever been abroad? No, never.
4)
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้เกิดขึ้นหรือกระทำไปแล้ว
แต่ผลของการกระทำนั้นยังประทับใจผู้พูดอยู่ ใช้ Present Perfect
Tense ได้ เช่น
- He has opened
the window.
- The train has
arrived at the station.
5)
ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นจบลงไปใหม่ๆ
โดยเวลาไม่นาน ซึ่งจะมี Adverb ต่อไปนี้มาร่วมเสมอ
ได้แก่ already, just, yet, finally, eventually, recently เช่น
- The principal has
just gone out.
- I have already
closed the window.
การใช้
yet,
just และ already
· yet :
ใช้ในประโยคปฏิเสธ และนิยมวางไว้ท้ายประโยค
· just, already : ใช้ในประโยคบอกเล่า และจะวางไว้หน้ากริยาหลักเสมอ เช่น
-
He has not
died yet.
-
He has just
finished his work.
-
I have already
read this book.
***หมายเหตุ - ใช้ already เมื่อผู้ถามหวังได้ “คำตอบรับ (Yes)”
- ใช้ yet
เมื่อผู้ถามหวังจะได้ “คำตอบปฏิเสธ (No)”
Present Perfect Continuous Tense
Structure : Subject + have, has + been + Verb 1 เติม –ing
หลักการใช้ Present Perfect Continuous
Tense มีดังนี้
1)
ใช้ Present
Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลาในอดีตและยังดำเนินไปอยู่ในขณะที่พูดนั้น
เช่น
-
We have been writing
letters to our friends in the U.S.A since 8 o’clock this morning.
-
How long have
you been working with him.
2)
ใช้ Present
Perfect Continuous Tense เพื่อเน้นระยะเวลาของเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปและใช้กับการกระทำที่เพิ่งจะจบลง
เมื่อสักครู่นี้ เช่น
-
My boyfriend has
been playing.
-
Have you been
writing?
3)
ใช้ Present
Perfect Continuous Tense กับ how
long, for... และ since...
ซึ่งจะบอกว่าเหตุการณ์นั้นๆ ดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
หรือเหตุการณ์นั้นๆเพิ่งจะจบลง เช่น
-
How long have
you been staying in Bangkok?
Past Simple Tense
Structure :
Subject + Verb ช่องที่ 2
การเติม
ed
ที่คำกริยามีหลักเกณฑ์ ดังนี้
1)
กริยาที่ลงท้ายด้วย e อยู่แล้ว ให้เติม d ได้เลย เช่น
-
love
- loved
-
move
- moved
-
realize
- realized etc.
2)
กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i ก่อนแล้วจึงเติม ed เช่น
-
cry
- cried carry -
carried
-
rely
- relied etc.
3)
กริยาที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระให้เติม ed ได้เลย
เช่น
-
play
- played
-
obey
- obeyed
4)
กริยาที่มีเพียงพยางค์เดียว
มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่ม
พยัญชนะที่ลงท้ายนั้นเข้าไปอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ed
เช่น
-
hop
- hopped
-
beg
- begged etc.
5)
กริยาที่มีเสียง 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้นมีสระตัวเดียว
ลงท้ายด้วยตัวสะกดตัวเดียว ต้องเพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายนั้นเข้าไปอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ed เช่น
-
concur
- concurred
-
occur
- occurred etc.
**ยกเว้น
: ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก
ไม่ต้องซ้อนพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น
-
cover - covered open -
opened etc.
6)
นอกจากกฎที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อแล้ว เมื่อต้องการให้เป็นช่องที่ 2 ให้เติม ed
ได้เลย เช่น
-
walk
- walked reach -
reached etc.
หลักการใช้ Past
Simple Tense มีดังนี้
1)
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และก็จบลงไปแล้วในอดีต ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ออกมา ในกรณีเช่นนี้มักจะมีคำ กลุ่มคำ
หรืออนุประโยค ที่แสดงความเป็นอดีตมากำกับไว้เสมอ ได้แก่
· คำ
(word) เช่น ago, once, yesterday, formerly, etc.
· กลุ่มคำ
(phrase) เช่น last night, last week (month), etc.
· อนุประโยค
(subordinate clause) เช่น when he was young, After he had
gone etc. เช่น
-
Somchai went
to the cinema yesterday.
-
I lived in
Songkla three years ago.
2)
ใช้กับการกระทำซึ่งกระทำเป็นประจำในอดีต
แต่ปัจจุบันมิได้กระทำการณ์นั้นอีกแล้ว ในกรณีนี้จะมี Adverb
บอกความถี่บ่อยๆ มาร่วมด้วยก็ได้
แต่ต้องมีคำบอกเวลาที่เป็นอดีตแน่นอนมากำกับไว้ เช่น
-
She walked to
school every day last week.
-
I always got
up late last year.
3)
ใช้กับการกระทำในอดีต แสดงลำดับความต่อเนื่องของเหตุการณ์
-
I opened my
bag, took out some money and gave it to my friend.
-
He jumped out
of the house, saw a policeman and run away.
4)
ใช้กับกริยาในรูปประโยคที่อยู่หลังสำนวนต่อไปนี้
· I
would rather + Past Simple Tense
· It’s
time + Past Simple Tense
· It’s
high time + Past Simple Tense
· It’s
about time + Past Simple Tense เช่น
-
I would rather you did your homework.
-
It’s time the children went to bed.
Past Continuous Tense
Structure : Subject + was, were +
Verb ช่องที่ 1 เติม – ing
หลักการใช้ Past Continuous Tense มีดังนี้
1)
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต
คือ มีเหตุการณ์อันหนึ่งเกิดขึ้นและกำลังดำเนินไปอยู่ก่อน
และก็มีเหตุการณ์อันที่สอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์อันสั้นๆเกิดแทรกเข้ามา
โดยมีหลักการแต่งประโยค ดังนี้
·
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้
Past Continuous Tense
·
เหตุการณ์ใดเกิดที่หลังใช้ Past Simple
Tense
เช่น
- While he was walking
along the street, he saw an accident.
2)
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่าง ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ หรือกำลังดำเนินอยู่พร้อมกันในเวลาเดียวกัน
ในอดีต เช่น
- ]]My mother was
cooking while I was playing.
-
He was standing
while she was sitting.
3)
ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่
ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่งในอดีต ตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น
- They were cleaning the room at
eight o’clock yesterday
Past Perfect Tense
Structure :
Subject + had
+ Verb ช่องที่ 3
หลักการใช้
Past
Perfect Tense มีดังนี้
1)
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต
และสิ้นสุดลงไปแล้วในอดีต โดยเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่ง
ซึ่งมีหลักการแต่ง ดังนี้
· เหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อนใช้
Past
Perfect Tense (Subject +
had + Verb ช่องที่ 3)
· เหตุการณ์ใดเกิดที่หลังใช้
Past
Simple Tense (Subject + Verb 2)
-
We went out
for a walk after we had
eaten dinner.
-
Anong had learnt
English before she went
to England.
1)
ใช้กับคำว่า By
the time, By May, By 1980 etc. จะมีโครงสร้างประโยค ดังนี้
By the time + Past Simple, Past Perfect Tense เช่น
-
By the time the
sun set, we had left the
office.
1)
ใช้ Past
Perfect Tense คู่กับ Past Simple Tense
ในสำนวนต่อไปนี้
· No
sooner...... then, hardly.....when,
scarcely......when
Subject
+ had + No sooner, hardly,
scarcely + V.3 + then, when, when + S. + V.2
เช่น
-
They had no sooner
finished their work then they went out.
1)
ใช้ Past
Perfect Tense ใน Clause ที่ตามหลัง I wish ซึ่งเป็นประโยคแสดงความปรารถนาในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เช่น
-
ความจริงที่เป็นอยู่ - I was born in
a poor family.
-
ปรารถนาใหม่ - I wish I had been
born in a rich family.
Past Perfect Continuous Tense
Structure : Subject
+ had + been + Verb 1
เติม -ing
หลักการใช้ Past Perfect Continuous
Tense มีดังนี้
1)
ใช้ Past Perfect Continuous
Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเกิดก่อนหน้าช่วงเวลาอดีตที่กำลังพูดถึงกันอยู่
และดำเนินต่อเนื่องมาถึงช่วงเวลาหนึ่ง จึงจบลง เช่น
-
The teacher had been
working alone.
-
How long have you
been teaching English?
-
He had been sleeping
for two hours.
-
My father had been
running with me.
-
Jira had been
smoking for 5 months.
2)
Past Perfect
ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ หลายครั้ง สามารถใช้ Past Perfect Continuous
Tense แทนได้
เช่น
-
I had tried
ten times to get her on the phone (past perfect)
-
I had been trying
to get her on the phone (past perfect continuous tense)
3) 3) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและกำลังเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ใช้ past perfect continuous tense
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดหลังใช้
past simple tense เช่น
-
I had been waiting for
the train for three hours before it arrived at the station.
-
When the police arrived,
we had been sleeping for five hours.
-
When had been
walking for one hour when we saw a small
birth.
Future Simple Tense
Structure : Subject +
will,shall + Verb 1
หลักการใช้ Future Simple Tense มีดังนี้
1)
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ซึ่งขณะที่พูดนี้เหตุการณ์หรือการกระทำนั้นยังไม่ทันเกิดขึ้น
และมักจะมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่เป็นอนาคตมาร่วมเสมอ ได้แก่
soon,
shortly, in a short time, in a moment, in a while, in a week’s time, in two
days’ time, etc.
เช่น
-
I shall go to
the United States soon.
-
Thomson will leave
Thailand for Japan next week.
2)
ประโยคแสดงอนาคตที่มีกริยา 2 ตัว ให้ใช้ Future
Simple Tense กับกริยาเพียงตัวเดียว ส่วนอีกตัวหนึ่ง
(คือประโยคที่อยู่หลังคำเชื่อม) ให้ใช้ Present Simple Tense หรือ Present Perfect Tense กริยาใช้ Future
Simple
Tense
คือกริยาที่อยู่หน้าคำเชื่อมและคำเชื่อมที่นำมาใช้ได้แก่
if, unless, when, until, as
soon as, before, after, the moment that, by the time that, now that etc.
เช่น
-
They will leave after
they have finished their work.
-
She will stay
here until her father arrives from his office.
การใช้
(be) going to แทน wil, shall ในกรณีต่อไปนี้
1) 1) ใช้ (be) going to +Verb 1
เพื่อแสดงความตั้งใจแทน will, shall
ได้ เช่น
-
I am going to write to Anong this evening.
-
Sak is going to
sell his car next month.
2) ใช้ (be) going
to +Verb 1 เพื่อแสดงการคาดคะเน แทน will, shall
ได้ เช่น
- I think it is
going to rain.
3) ใช้ (be) going
to +Verb 1 เพื่อแสดงข้อความซึ่งเชื่อว่าเป็นจริงเช่นนั้น
โดยปราศจากข้อสงสัยแทน will, shall เช่น
- My wife is going to
have a baby.
***เพิ่มเติม ห้ามใช้ (be) going
to แทน will, shall ในกรณีต่อไปนี้
1)
เหตุการณ์ที่เป็นอนาคตอันแท้จริง
ซึ่งถ้าต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่สามารถใช้ (be) going to แทน
will, shall
ได้ เช่น
-
Today is the 21st : tomorrow will
be the 22nd .
2)
ห้ามใช้ (be) going
to แทน will,
shall ในประโยคเงื่อนไขที่เชื่อมด้วย if เช่น
-
I shall (will) do this for you if you give me twenty baht.
3)
ห้ามใช้ (be) going
to แทน will,
shall กับกริยาแสดงการรับรู้ Verb
แสดงการรับรู้ ได้แก่ know, understand, remember, forget,
live , love, etc. เช่น
-
I will
understand what you said.
***การใช้ (be) going to
ในประโยคแสดงอดีตกาล
คือ
was,were + going to + Verb 1
- We were going to
play tennis yesterday, but it rained.
การใช้ will,shall สลับบุรุษ
·
shall ใช้กับบุรุษที่ 1 คือ I shall......... และ We shall.....................
·
will ใช้กับบุรุษที่ 2-3 และนามที่มาเป็นประธาน เช่น You will.......,
He wil.................., She will............,
It will..........., They will.................,
Jack will..............., etc.
***แต่ถ้าหากสลับบุรุษกันเป็น
You
shall, He shall, She shall, etc. นอกจากจะเป็นอนาคตแล้วยังมีความหมายว่า
1)
เป็นเชิงสัญญา
(ผู้พูดเป็นผู้ให้สัญญา) เช่น
- - If you work harder you shall have a holiday on Saturday.
2)
เป็นเชิงบังคับ
(ผู้พูดเป็นผู้บังคับบัญชา) เช่น
- You must
do this or you shall be punished.
3)
เป็นเชิงแสดงความตกลงใจอย่างแน่วแน่
(ของผู้พูด) เช่น
- -These people want to buy my house, but they shan’t have it.
***แต่ถ้าหาก Will ใช้กับ I และ we
เป็น
1)
เป็นการแสดงความตั้งใจจริงของผู้พูด
เช่น
-
I will try
again this year.
2)
เป็นการให้สัญญาของผู้พูด เช่น
-
I won’t
forget Ladda’s birthday. I will
send her a present.
Structure : Subject
+ will,shall + be + Verb 1 เติม -ing
หลักการใช้ Future Continuous
Tense มีดังนี้
1)
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อน – หลัง กันในอนาคต
โดยมีหลักการแต่งประโยค ดังนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้
Future
Continuous Tense
( Subject + will,shall + be + Verb 1
เติม -ing )
เหตุการณ์ที่ทำทีหลังหรือเกิดขึ้นทีหลังใช้
Present Simple Tense
(Subject + Verb
2 )
เช่น
-
He will be having
his breakfast when we arrive at his house
tomorrow.
-
When we call
on him tomorrow morning, he will be watering in
the garden.
-
I will be sleeping
when my mom gets home.
-
Suda will be waiting
when you arrive.
2)
ใช้กับเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ตามเวลาที่ระบุไว้อย่างชัดเจน
เช่น
-
This time tomorrow I shall be flying to New York.
-
She will be sleeping
at seven o’clock tomorrow morning.
-
I will be reading
book at 8 o’clock tomorrow.
-
At nine o’clock tomorrow, we will be working on farm.
3)
ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตที่ได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า
จะทำเช่นนี้จริงๆ
เช่น
-
We shall be working
all day tomorrow.
-
What will you
be doing tomorrow?
-
The David will be
studying with us again this year.
Future Perfect Tense
Structure
:
Subject + will, shall + have + Verb 3
หลักการใช้
Future Perfect Tense
มีดังนี้
1)
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต ซึ่งขณะที่พูดเป็นเพียงการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า
ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว เหตุการณ์อันหนึ่งจะเกิดขึ้นสมบูรณ์ก่อนแล้ว
จึงมีเหตุการณ์อันที่ 2 เกิดขึ้นตามมา
โดยมีหลักการแต่งประโยค ดังนี้
·
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้
Future Perfect Tense
(S + will, shall +
have + V.3)
· เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้ Present Simple
Tense
(S +
Verb 1)
เช่น
- The
play will have started before we reach the theater.
-
He will have left
home when the mail arrives tomorrow.
2)
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ณ เวลาใดเวลาหนึ่งตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในประโยค
และคำหรือกลุ่มคำที่นำมาใช้ร่วม จะนำหน้าด้วยบุรพบท “by”
เสมอ เช่น by
tomorrow, by next week, etc. เช่น
-
I shall have
finished my work by dinner time.
-
By the end of March
the Browns will have been here for two years.
3)
ใช้เพื่อแสดงความสงสัยว่า “คงจะอย่างนั้น อย่างนี้แล้วก็ได้” เช่น
-
I expect you will
have heard that Ladda is going to be married next month.
-
It’s five o’clock: they will have arrived home by now.
Future Perfect Continuous
Tense
Structure
: Subject
+ will, shall + have + been + V.ing
หลักการใช้ Future Perfect Continuous
Tense มีดังนี้
1)
ใช้ Future
Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องกันไปในอนาคต เช่น
-
By next March I will
have been teaching in this university for three years.
-
Usa will have been
working for South – East Asia university for 15 years by next month.
-
My son will have
been sleeping for 4 hours by the time I get home.
-
By next November I shall have been living here for four years.
2)
แบบมีสองเหตุการณ์
·
เหตุการณ์ที่ได้ดำเนินมาแล้วระยะหนึ่งใช้ Future Perfect
Continuous
· อีกเหตุการณ์หนึ่งใช้ Present
Simple
เช่น
-
You will
have been waiting for two hours when the plane arrives.
-
They will have been sleeping for three
hours by the time their parents get home.
*** เปรียบเทียบ Future Perfect Tense กับ Future
Perfect Continuous Tense เช่น
-
In December I will
have been writing this book for seven months.
-
I will finish this book in January next year
when I will have written this book for eight
months.
การศึกษาเกี่ยวกับหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นเนื้อหาพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับ Tense
ซึ่งมีทั้งสิ้น 12 Tense แบ่งเป็น ปัจจุบัน (present), อดีต (past) และ อนาคต (future) การศึกษาและจำในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก
ดิฉันคิดว่าการที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมดได้ ควรทำความเข้าใจไปทีละ
Tense รวมทั้งฝึกทำแบบทดสอบของแต่ละ Tense ฝึกแต่งประโยคในแต่ละ Tense รวมทั้งฝึกอ่านและฝึกพูดในสถานการณ์ที่พบเจอจริงๆ
จะทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับ Tense ทั้งหมดได้มากกว่า
และเมื่อผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจในเรื่อง Tense ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว
ผู้เรียนก็จะสามารถสร้างประโยคหรือข้อความต่างๆ รวมทั้งแปลประโยคหรือข้อความต่างๆ
ได้ดีและสละสลวยเช่นกัน
ถึงแม่ว่าชาวต่างชาติจะคิดว่าหลักไวยากรณ์ไม่สำคัญเท่ากับทักษะการพูด
แต่สำหรับคนไทยที่ไม่ได้มีภาษาอังกฤษเป็นแม่แบบ คิดว่า การศึกษาในเรื่องของหลักไวยากรณ์ต่างๆ
เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะคนไทยส่วนใหญ่ล้วนกลัวว่าถ้าหากพูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
ไม่ถูก Tense ชาวต่างชาติจะไม่เข้าใจ ฉะนั้น สำหรับดิฉัน
คิดว่าการศึกษาในเรื่องของ หลักไวยากรณ์ ในเรื่อง Tense เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เพราะถ้าหาก ดิฉันมีความแม่นยำในเรื่องเหล่านี้ ดิฉันก็จะสามารถพัฒนาทักษะอื่นๆได้ดีขึ้นด้วย
สามารถเขียน เกี่ยวกับภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น และสิ่งเหล่านี้
ดิฉันถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นแรงผลักดันให้ดิฉันมีความมั่นใจและกล้าที่จะพูดและใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น
v
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น